愛梨ちゃんのブロク

เรื่องบ่นๆ บ้าๆ บอๆ ของไอริ

愛梨ちゃんのブロク

Category: Lifestyle Page 1 of 2

Japan Aki trip – 2015-11-10

กลับมาอีกครั้งกับไอริเจ้าเก่า O wO/

(มีเจ้าใหม่กะเค้าด้วยรึแก = =”)

จากที่เกริ่นไปคราวที่แล้ว วันนี้เราต้องลาจากทตโตริแล้วค่ะ (เศร้า) TwT

แต่ครึ่งวันเช้าเรายังอยู่ที่เดิมนะ >w<

จะเป็นยังไงตามกันต่อเลยค่ะ

…Day 4 2015-11-10…

วันนี้เป็นวันที่ไอริกับพี่หมีคบกัน 5 ปี 2 เดือน แล้วว \> w</

(ข้ามไปได้มั๊ย ไม่ได้อยากรู้เฟร้ย!!!)

อะแฮ่ม! วันนี้เรามีเวลาครึ่งวันเช้าในการเที่ยวทตโตริค่ะ หลังจากที่เรากินข้าวที่โรงแรมเสร็จแล้ว เราก็ฝากสัม”ภาระ” ทั้งหมดไว้ที่คุณ Reception คนสวยที่โรงแรมเช่นเคย

วันนี้เราจะแว๊บไปที่แถวๆ เนินทรายทตโตริ(Tottori Sand Dunes) ซึ่งเป็น Signature ของจังหวัดนี้กันค่ะ แต่!!! ตอนนั้นไอริก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไปยังไง เราเลยไปกันที่ Tourist Information แถวๆสถานีค่ะ

พอเข้าไปปั๊ป!

ไอริ: ทตโตริ ซังคิว เอ๊ะ อิคิไต เดะสุง่ะ, โด้ยัตเต๊ะ อิเคะมัสก๋า (จะไป Tottori Sand Dunes ไปยังไงเหรอคะ)

จนท: So first, where do you come from?

ไอริ: Thai (อย่าไปบอกว่า Thailand นะ เดี๋ยวเค้าสับสนกลายเป็น Taiwan อะไรงี๊ เพราะคนญี่ปุ่นแค่ Thai ก็คือประเทศไทยค่ะ )

จนท: Ah! Sawasdee ka/krub 😀

ไอริ: สวัสดีค่าา ฮ่าๆๆๆ (กรี๊ดด จนท. น่าฮักขนาดด ฮ่าๆๆๆ)

จากนั้นเค้าก็บอกมาว่า มี 2 ทางให้เลือกค่ะ

  1. Bus – นั่งบัสไปแล้ว ไปลงที่ Sand Dunes ค่ะ ราคาประมาณ 2xx เยน แต่ไอริไม่ได้นั่ง (จบ)
  2. Taxi – ไอริเลือกวิธีนี้ค่ะ ฮ่าๆๆๆ ที่ทตโตริจะมีบริการทัวร์แท็กซี่ (แต่ไกลขนาด Yonago เค้าไม่ไปนะ) คนละ 1,000 เยน นั่งได้ 3 ชั่วโมง โดยที่คุณคนขับจะเปรียบเสมือนไกด์คอยแนะนำสถานที่ให้เราค่ะ ถึงแม้ว่าคุณคนขับจะพูดภาษาอังกฤษไม่(ค่อย)ได้ แต่เค้าก็พยายามอธิบายมากๆเลยค่ะ ปลื้มๆ > <

หากใครยังไม่คุ้นเคย หรือเพิ่งมาเป็นครั้งแรก แล้วอยากได้ข้อมูลมากกว่าในเน็ตละก็ให้มาที่ Tourist Information นะคะ จะมีคุณลุง กับคุณพี่สาวประจำอยู่ที่นี่ค่ะ เค้าจะคอยแนะนำสถานที่เที่ยว รวมถึงวิธีการไปให้แบบละเอียดยิบเลย พูดอังกฤษได้ด้วย ไอริประทับใจมากๆค่ะ

จากนั้นคุณพี่จนท. ก็ติดต่อเรียกแท็กซี่ให้ โดยค่าโดยสารจะต้องจ่ายให้คุณคนขับหลังจากจบทริปแท็กซี่ค่ะ

ระหว่างที่รอรถอยู่นั้นไอริเหลือบไปเห็นร่มที่วางอยู่ใน Information ค่ะ นอกจากนี้ยังเห็นใน Tottori Station และตามฝาท่อระบายน้ำในเมืองอีก เกิดความสงสัยเลยถามเค้าว่า ร่มนี้มันมีความหมายยังไงเหรอ? เค้าก็บอกว่ามันเป็นร่มที่ใช้ขอฝนใน Shan-Shan Festival ค่ะ โดยจะจัดขึ้นที่เมืองนี้ในเดือนสิงหาคมของทุกปี (นี่ถ้าอยากเห็นฉันก็ต้องมาใหม่สินะ)

Shan Shan Festival umbrella

คุณลุงคนขับมาแล้ว ได้เวลาที่เราจะไปกันแล้วค่ะ ^ w^/

ที่แรกที่เราจะไปไม่ใช่เนินทราย(อ้าว!?) แต่เป็น Jinpukaku! เหมือนกับว่าทาง Tourist Information เค้ามีแพลนเส้นทางการเที่ยวแล้วส่วนนึงอ่าค่ะ เค้าเลยให้คุณลุงคนขับพาเรามาด้วย ให้ได้เที่ยวกันเพิ่มเติม ^w^

Furusato song at Jinpukaku

Furusato song at Jinpukaku

สถานที่สวยและโรแมนติกมว๊ากกกกกกกกกกกกกกก x 100 เคลิ้มไปเลยค่ะ

Jinpukaku

Jinpukaku

20151110_092133

Jinpukaku

ตอนแรกๆไอริก็ไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับที่นี้มาก่อนเลย แต่พอกลับมาค้นๆข้อมูลดู ก็เลยรู้ว่าที่ๆนี้เป็นสถาปัตยกรรมยุโรปที่สร้างขึ้นสมัยเมจิค่ะ

คุณลุงคนขับใจดีมากมาย อาสาถ่ายรูปให้ แล้วก็พยายามอธิบายความเป็นมาของสถานที่ให้อีก ทั้งๆที่เราสองคนก็ไม่ได้รู้เรื่องเลย ขอโทษที่ไม่เข้าใจนะคะ ฮืออ TwT

หลังจากชมความงามของสถานที่เรียบร้อยแล้ว เราก็ไปกันต่อที่พิพิธภัณฑ์ทราย ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับเนินทราย เสียค่าเข้าชมคนละ 600 เยนค่ะซึ่งที่นี่ก็เป็นแหล่งรวมศิลปะรูปปั้นทราย และทรายที่ใช้ก่อรูปปั้นก็ขนมาจากเนินทรายที่อยู่ใกล้ๆกันนั่นแหละค่ะ(ฮา)

Sand Museum Ticket

ศิลปะที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ทรายนั้น ทุกๆปีก็จะมีธีมในการแสดงศิลปะ โดยธีมในปี 2015 นั้นคือ Germany ค่ะ ข้างในก็จะจัดแสดงศิลปะทรายที่เกี่ยวกับเยอรมัน พอถึงประมาณต้นเดือนมกราคม 2016 เค้าก็จะทำการรื้อ แล้วสร้างขึ้นใหม่ภายใต้ธีมของปีนั้นๆ โดยช่วงเวลาในการสร้างจะอยู่ที่ประมาณเดือนมกราคม จนถึงปลายเดือนเมษายน จากนั้นจึงเปิดให้เข้าชมใหม่ค่ะ

Sand Museum Theme Germany

Sand Museum Theme Germany

งานละเอียดมว๊ากกก >w<~

Sand Museum Theme Germany

Sand Museum Theme Germany

Sand Museum Theme Germany

Sand Museum Theme Germany

Sand Museum Theme Germany

Sand Museum Theme Germany

หลังจากที่เราชมศิลปะชั้นล่างเรียบร้อยแล้ว เราก็ขึ้นไปข้างบนเพื่อไปชมวิวของเนินทรายจากพิพิธภัณฑ์ค่ะ

Sand Dunes from sand museum

และเป้าหมายต่อไปเราจะไปที่เนินทรายกันค่ะ ที่นี่เกิดจากปรากฎการณ์ธรรมชาติ ลมทะเลพัดทรายจากทะเลมาทับถมกัน เกิดเป็นเนินทราย ถ้าใครมาช่วงเช้าก็จะได้เห็นลายบนทรายที่เป็นริ้วๆ ที่เกิดจากลมด้วยนะคะ โดยปกติคนที่มาเนินทรายเค้าจะเดินไปจนถึงริมสุด เพื่อไปสัมผัสลม และดูทะเลค่ะ

Sand Dunes

มีอูฐให้ขี่ด้วยนะคะ แต่ต้องเสียตังค์ ตอนที่ไอริไปไม่มีอูฐเลยค่ะ ฝนตก (;w;)

Sand Dunes

กว้างมากๆๆๆๆๆๆๆ

Sand Dunes

หลังจากชมเสร็จเราก็จ่ายค่าแท็กซี่แล้วไปหาข้าวกินแถวๆ Tottori Station ค่ะ

Chirashi at Tottori Station

กินกันเสร็จเราก็กลับไปเอากระเป๋าที่โรงแรม กลับมาที่สถานีก็ซื้อของฝาก จากนั้น… ก็โบกมือลา Tottori นั่ง Super Hakuto เหมือนเดิมค่ะ แต่คราวนี้เราไปลงที่ Kyoto ซึ่งเป็นสถานีปลายทางของรถไฟขบวนนี้ ใช้เวลานั่ง 3 ชั่วโมงค่ะ นั่งตั้งนานก็ต้องซื้ออะไรไปกินในรถไฟเนอะ >w<

Super Hakuto ticket from Tottori to Kyoto

Oburoshiki

Dango

Matcha Fondue of KanoZa bakery

สำหรับ Tottori เป็นอะไรที่ไอริต้องทำการบ้านสำหรับสถานที่เที่ยวเยอะมากๆ เพราะหาข้อมูลรีวิวของคนไทย(เอาแบบไม่นับพวกรายการท่องเที่ยว) ก็มีแต่ข้อมูลเก่า แต่ถ้าเป็นเมืองใหญ่ๆ อย่าง Kyoto และ Osaka ไอริเชื่อว่าอ่านผ่านๆก็ไปได้ค่ะ และทริปต่อจากนี้ไปเราก็ไม่ได้วางแผนอะไรมากมายเท่าไหร่ เพราะกะว่าจะเที่ยวตามมหาชน เค้าไปไหน เราก็ไปตาม(ฮา)

กว่าจะถึงเกียวโตก็ประมาณ 4 โมงเย็นค่ะ เราก็เลยลากกระเป๋าไปเก็บไว้ใน apartment ที่จองไว้ผ่านทาง airbnb สาเหตุที่เราเลือกพักแบบนี้เพราะถ้าพักใน apartment จะได้ที่กว้างกว่าพักกับทางโรงแรม และค่าที่พักยังถูกกว่าด้วยค่ะ แต่ก็ต้องปฏิบัติตามกฎของ Host อย่างเคร่งครัดด้วยนะคะ

เมื่อเก็บกระเป๋าเสร็จแล้ว ท้องฟ้าก็มืดพอดี (ประมาณ 5-6 โมงเย็น) เราก็เลยไปเดินสำรวจ และหาร้านอาหารทานแถวๆสถานีเกียวโตค่ะ

Kyoto Tower at night

Udon at Kyoto subway station

วันถัดไปพวกเราจะตามมหาชนไปไหนกัน อย่าลืมติดตามนะค๊า อย่าเพิ่งทิ้งเราไปไหนก่อนนะ ( ^^)~

つづく

Japan Aki trip – 2015-11-09

สวัสดีค่า กลับมาอัพเดททริปญี่ปุ่นกับไอริคนเดิมเช่นเคย O wO/

วันนี้เรายังคงอยู่ที่ทตโตริค่ะ จะเป็นยังไงนั้นเรามาเริ่มเลยค่ะ >w<

…Day 3 2015-11-09…

หลังจากตื่นนอนแล้ว เราก็ลงมากินข้าวเช้ากันชั้นล่างของโรงแรมค่ะ

อาหารของโรงแรม Super Hotel ดูพื้นๆกว่าที่ไอริคิดไว้มากๆ ไอริไม่เคยไปค้างที่ต่างประเทศเลย ก็เลยติดภาพลักษณ์อาหารเช้าตามโรงแรมที่ไทยที่จะมีของกินเยอะๆให้เราไปตักค่ะ แต่ที่นี่ไม่ใช่ อาหารเค้าจะมีแค่ไม่กี่อย่างเองค่ะ แกงกะหรี่, ชิคุวะ(ลูกชิ้นปลาที่มีรูปร่างเป็นแท่งยาวๆ กลวงๆตรงกลาง), ไข่ดิบ, สลัด 2 อย่าง, ฟุริคาเกะ(ผงโรยข้าว), นัตโตะ(ถั่วหมัก ยืดๆ) และซุปมิโซะ แต่ไม่รู้ทำไมอาหารเหล่านี้กลับทำให้ไอรินึกถึงเป็นอย่างแรก หลังจากกลับมาที่ไทย มากกว่าพวกซูชิ ปลาดิบ หรือ ราเมงทั้งหลาย 🙂

หลังจากกินข้าวเสร็จ เราก็ไปทัวร์กันต่อทางตะวันตกของทตโตริ ซึ่งนั่นก็คือแถบ โยนาโงะ (Yonago) นั่นเองค่ะ

ขอนอกเรื่องนิดนึง สำหรับคอ Anime แล้ว เท่าที่ไอริทราบ จังหวัดทตโตริเป็นแหล่งตาม Anime ถึง 3 เรื่องด้วยกันค่ะ

  1. Conan – อันนี้ไม่ต้องบอกก็รู้อยู่แล้วเนอะ ไปมาแล้วเมื่อวาน จะอยู่ทางตอนกลางของจังหวัดที่เมืองโฮคุเอย์ (Hokuei) ค่ะ
  2. Free! – หนุ่มนักว่ายน้ำ เรื่องนี้ออกจะเป็นเรื่องใหม่ไปซักนิกนึง จะอยู่ทางตะวันออกของจังหวัดค่ะ แต่ว่าไอริไม่ได้ไป เพราะรู้สึกว่าไกล อยู่ที่เมือง อิวามิ (Iwami) > <
  3. ผีน้อยคินทาโร่ – เรื่องนี้บอกตามตรงว่าไอริไม่เคยดูค่ะ ฮ่าๆ แต่ถ้าจะตามรอยจะอยู่ที่เมืองซะไคมินาโตะ (Sakaiminato) ทางตะวันตกของจังหวัดค่ะ ได้ยินมาว่าเมืองนี้ก็มีตลาดปลาอยู่ไม่ใช่น้อย แต่ไอริก็ไม่ได้ไปเพราะรู้สึกว่าไกลจากเมืองทตโตริค่ะ > <

ถ้าจะถามว่าแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเมืองโยนาโงะที่พวกเราจะไป? จะบอกว่าไปทางตะวันตกของจังหวัดแล้วลงที่สถานีโยนาโงะ มันก็มีพวกของฝากของขายของผีน้อยคินทาโร่เหมือนกัน ฮ่าๆๆๆๆ

=_______=”a? (เพื่อ….?)

นั่ง Limited Express Train เช่นเคยโดยใช้ตั๋วคู่กับบัตรเบ่ง(JR Sanyo San’in Pass) ก็มาถึงที่หมายภายใน 1 ชั่วโมงค่ะ

Tottori to Yonago Ticket

แต่เป้าหมายที่แท้จริงของเราไม่ได้มาที่โยนาโงะหรอกนะ (อ้าว!? มาเพื่อ?) เป้าหมายของเราจริงๆอยู่กันที่ ปราสาทขนมหวาน (Sweet Castle / Okashi no Kotobukijou) ค่ะ เรามาที่นี่เพื่อหาบัสที่จะไปที่นั่น แต่ดูเหมือนไอริกับเจ้าหน้าที่ Tourist Info และคุณคนขับรถบัสจะสื่อสารกันไม่เข้าใจเท่าไหร่ =_=a? เราสองคนเลยนั่งย้อนจาก Yonago Station ไปที่ Hoki-Daisen Station ค่ะ ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ฮ่าๆๆๆ

พอถึงสถานี Hoki-Daisen สิ่งที่รอเราอยู่คือ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

…………………………( ‘___’)(‘___’)”…………………………

….ก๊า ก๊า ก๊า….

ช่างเป็นสถานีที่โคตรเงียบ!!!!!!

ตอนแรกก็กังวลกับพี่หมีค่ะ เอาไงดีแว๊ะ กลับ-ไม่กลับ Pocket-Wifi ก็ใช้ไม่ได้ สัญญาณไม่มีแต่สุดท้ายเหมือนฟ้าประทานค่ะ ซึ่งนั่นก็คือ….!!

!!! TAXI !!!

พวกเราไม่รอช้า รีบขั้นทันที โอคาชิ โน๊ะ โคโตบุคิโจ เดะสุ!! > w</

และนั่นก็เป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่เราได้ขึ้นแท็กซี่ญี่ปุ่นค่ะ!!

ราคาเริ่มต้นสำหรับแท็กซี่อยู่ที่ 560 เยนค่ะ

ใช้เวลาไม่นานเราก็มาถึงที่หมาย ค่าเสียหายในการขึ้นแท็กซี่ครั้งนี้อยู่ที่ 900 เยน

Sweet Castle Outsite

ถ้าถามว่าอยู่ตั้งไกล ทำไมเราถึงมาที่นี่? เราก็จะขอแจ้งแถลงไขว่า…. เพราะ… “ของกิน”

ตามชื่อเลยค่ะที่นี่เป็นแหล่งของกินต่างๆ ผักดอง นม โยเกิร์ต และโดยเฉพาะขนมหวาน มีให้ชิมฟรีทุกอย่าง ถ้าถูกใจก็ซื้อกลับเป็นของฝากได้ ไอริกินอิ่มจนไม่ต้องกินข้าวกลางวันเลยค่ะ ฮ่าๆๆๆ

Sweet Castle Inside

Sweet Castle Inside

Sweet Castle Inside

Sweet Castle Inside

Sweet castle inside

Sweet Castle Inside

หลังจากกลับจากปราสาทขนมหวานแล้วเราก็ให้ทางเจ้าหน้าที่เรียกแท็กซี่ให้ค่ะ คราวนี้นั่งกลับไปที่ Yonago Station เพราะคิดว่าเป็นสถานีใหญ่น่าจะมีรถไฟให้เลือกหลากหลายมากกว่า

หลังจากจ่ายค่าแท็กซี่ประมาณ 2,200 เยนแล้ว เราก็ขึ้นรถไฟไปที่เมือง คุราโยชิ(Kurayoshi) ซึ่งเป็นเมืองเก่าของทตโตริ ค่ะ

Kurayoshi station

Kurayoshi station

Kurayoshi Drain Cover

เป้าหมายของเราต่อไปคือ 20th century pear museum (Nashikko-kan) ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ลูกแพร์ จังหวัดทตโตริขึ้นชื่อว่าเป็นจังหวัดที่ส่งออกลูกแพร์เป็นอันดับต้นๆของญี่ปุ่นที่นี่จึงมีพิพิธพัณฑ์ที่บอกเล่าเรื่องราวตั้งแต่ประวัติ โรคของต้นแพร์ วิธีการปลูก การเก็บเกี่ยว และเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับลูกแพร์ให้ได้ชมค่ะ มาที่นี่ได้โดยการลงรถไฟที่สถานีคุราโยชิ แล้วนั่งรถบัสลงป้าย Kurayoshi Park Square ราคา 230 เยน ใช้เวลาประมาณ 12 นาที ก็จะถึงค่ะ

Pear museum outsite

Pear museum inside

Pear museum inside

Pear museum inside

Pear museum inside

Pear museum inside

Pear museum garden

แน่นอนว่าของกินของฝากที่นี่ก็จะทำมาจากลูกแพร์ทั้งหมดทั้ง แยม เยลลี่ แกงกะหรี่ ซอฟท์ครีม เค้ก ขนาดซีดีเพลงที่เกี่ยวกับลูกแพร์ยังมีเลยค่ะ แต่ไอริไม่ได้กินซอฟท์ครีม กับ แกงกะหรี่ เพราะมัวแต่เลือกของฝากเพลิน ร้านปิดก่อน เสียดายเลย > <

หากใครพอมีเวลาเหลืออย่าลืมไปกินร้าน Seisuian ชาบูโมจิ ที่ขึ้นชื่อของคุราโยชิ ที่อยู่แถวๆพิพิธพัณฑ์กันนะคะ ส่วนไอริไม่ได้ไป TwTa

จากนั้นเราจึงนั่งบัสกลับ และกินข้าวเย็นที่ร้านอาหารแถวๆสถานี แน่นอนว่าเราใช้ tabelog ในการตามหาร้านอาหารเช่นเคย เลือกร้านได้แล้วก็เข้าไปในร้านก็นั่งงมกับเมนูอยู่ซักพักนึง ดูรูปแล้วก็จิ้มๆๆ ฮ่าๆๆๆ อ่านได้พอถูๆไถๆว่ามันคืออะไร จำได้ว่ามีอยู่เมนูนึงชื่อว่า คานิ มิโซะ (Kani-Miso) แต่ไม่มีรูปให้ดูค่ะ ราคาประมาณ 600 เยน ไอริก็นึกว่าเป็น ซุปมิโซะใส่ปู = =”a แต่พออาหารมาเสิร์ฟจริงๆกลับเป็น เนื้อปูฝอยกับตับปูค่ะ แต่อร่อยนะ (ฮา) พอกินกันอิ่มแล้ว จึงกลับไปที่สถานีทตโตริค่ะ

วันนี้ได้เที่ยวไม่กี่ที่เองเพราะที่เที่ยวทตโตริเดินทางใช้เวลานานค่ะ ถ้าใครจะเที่ยวที่จังหวัดนี้อย่าลืมวางแผนดีๆนะคะ

วันถัดไปเราจะเที่ยวอีกครึ่งวัน แล้วบ๊ายบายทตโตริ จากนั้นจะไปยังที่ถัดไปแล้วนะคะ ฝากบล็อกนี้ด้วยนะค๊า

つづく

Japan Aki trip – 2015-11-08

สวัสดีค่า ไอริคนเดิมกลับมาอีกครั้ง O wO/

ช่วงนี้จะพยายามอัพบล๊อกถี่หน่อยนะคะ

เพิ่งกลับจากไปเที่ยวมาแบบว่า กลัวจะหลงๆ ลืมๆบ้าง TwT

ใครยังไม่ได้อ่านวันแรกก็ จิ้มที่นี่ เลยค่ะ

…Day 2 2015-11-08…

เวลาประมาณตีห้า เราสองคนก็ออกมาจาก KIX Lounge ค่ะ เพื่อที่จะไปต่อแถวเอา JR Pass ที่เราจองไว้ สถานที่ๆไป pick up นั้น อยู่ระหว่างทางเชื่อม terminal 1 และทางไป Aeroplaza ที่ terminal 2 ตรงข้าม ก็จะเป็นสถานี JR Kansai Airport ที่เราจะใช้เดินทางต่อไปค่ะ

JR ที่เราเลือกใช้ในครั้งนี้คือ JR Sanyo-san’in pass ค่าเสียหาย 19,000 เยน ใช้ได้ 7 วัน ใช้ได้กับรถไฟ JR ในโซนที่เค้ากำหนด ในเวลาเดียวกันกับที่เราไปเอา pass เราก็บอกให้เจ้าหน้าที่จอง Reserved seat รถไฟ Super Hakuto Limited Express train ซึ่งเป็นรถไฟเพียงสายเดียวที่วิ่งตรงจาก Kyoto, Osaka, Kobe และตรงไปยังปลายทาง จังหวัด Tottori ซึ่งเป็นที่หมายของเราในวันนี้ค่ะ

หลังจากที่เราได้ Sanyo-san’in pass มาแล้ว (ซึ่งเราสองคนเรียกว่า “บัตรเบ่ง”) ก็ยื่นให้เจ้าหน้าที่ดู เพื่อเป็นการเข้า gate นั่งรถไฟ Rapid service รอบแรก 5:57 น. จาก Kansai Airport ไปยังสถานี Osaka โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ค่ะ

พอถึงสถานี Osaka เรามีเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ในการรอ Super Hakuto ซึ่งสิ่งที่จะทำคั่นเวลาไม่ใช่อะไร แต่เป็นการ……หาของกิน!!! 😛 เราแวะตามมินิมาร์ท หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า คอมบินี ใส่ถุงแล้วก็หิ้วขึ้นไปกินบนรถไฟค่ะ

หลังจากแสวงหาของกินจนเป็นที่พอใจแล้ว เราก็ไปงงๆกับชานชาลา และที่นั่งกันต่อ หลังจากที่เราจองที่นั่ง Reserved seat ที่ได้กล่าวไว้แล้วเมื่อครู่ เราต้องไปตามหาขบวนค่ะ ในตั๋วจะมีเขียนระบุไว้ว่า เราต้องนั่งขบวนไหน ที่นั่งไหน ให้เรามองที่ป้ายแดงๆข้างบน กับชื่อขบวนรถไฟค่ะ ไม่ต้องห่วงว่าจะอ่านไม่ออก เพราะป้ายของเขาเป็น LED บอกทั้งญี่ปุ่น ทั้งอังกฤษค่ะ แค่ยืนให้ตรงที่ก็พอ สิ่งที่ต้องระวังคือ ในชานชาลานั้น อาจมีการระบุป้ายมากกว่ารถไฟ 1 ขบวน mark ที่อยู่ที่พื้นบางทีอาจจะอยู่ใกล้ๆ แต่เป็นคนละขบวนก็ได้ค่ะ

Osaka Station

เมื่อหายงงแล้ว เราก็ขึ้น Super Hakuto สุดที่รัก เพื่อมุ่งหน้าไปทตโตริ ใช้เวลาในประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ข้างในรถไฟมีห้องน้ำ มี Wifi ใช้ฟรี แต่คนที่เอากระเป๋าลากใบใหญ่มาอาจจะลำบากซักนิดนึง เพราะต้องยกกระเป๋าขึ้นไปวางตรงชั้นวางข้างบนค่ะ ตรงทางเดิน และ ตรงที่นั่งของเรามันไม่ได้กว้างขนาดที่ให้กระเป๋าใบใหญ่วางได้ค่ะ

ระหว่าง 2 ชั่วโมงครึ่ง เราสองคนก็เพลิดเพลินไปกับการ…กิน…นอน = .,=zZZ และวิวอันแสนสวย ในฤดูใบไม้ร่วงค่ะ วิวระหว่างที่รถไฟวิ่งอยู่นั้น จะเป็นวิวภูเขา แม่น้ำ และริมน้ำน้อยๆคอยซัดโขดหินที่เรียงราย สลับกับความมืดระหว่างที่รถไฟวิ่งลอดอุโมงค์ในภูเขาค่ะ

View between travelling via Super Hakuto

เวลาผ่านไป…และแล้วเราก็ถึงที่หมาย Tottori Station!!! *>w<*

View from Tottori Station

โอ๊ยย!! นี่แหละะ Tottori แน่นอน เพราะมีแต่เด็กแว่น เด็กแว่น และ เด็กแว่นเต็มไปหมดเลย!!

 Conan Mystery Tour Poster

Detective gang in Tottori Station

ช่วงที่ไอริไปเป็นช่วงที่ทางจังหวัดจัด Mystery Tour พอดี ซึ่งผู้ที่เข้าร่วมต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 10,000-20,000 เยน เพื่อเข้าร่วมทัวร์ค่ะ โดยที่ทัวร์จะจัดให้เราไขปริศนา(เขียนเป็นภาษาญี่ปุ่น) ตามสถานที่เที่ยวต่างๆในตัวจังหวัดค่ะ ซึ่งจากทัวร์นี้จะเห็นได้ว่า…!! อีคุณเด็กแว่นครองเมืองไปแล้ว สนามบิน Tottori ก็เป็นของเอ็ง สถานีรถไฟก็เป็นของเอ็ง *กราบ* ไปเที่ยวที่ไหนๆก็จะเห็นแต่โปสเตอร์เด็กแว่นแดงๆอันนี้เต็มไปหมด(ฮา)

หลังจากที่ถึงสถานี้แล้วพวกเราก็ลากกระเป๋าไปๆมาๆเดินเล่นสำรวจสถานีซักแว๊บนึง จากนั้นจึงเอากระเป๋าไปฝากโรงแรมค่ะ ทางโรงแรมก็ใจดีมากให้พวกเราฝากกระเป๋าก่อนเช็คอิน แถมขณะที่พวกเรากำลังจะออกจากโรงแรมกลับไปที่สถานีอีกครั้งก็หยิบร่มใสมาให้อีก เพราะเห็นว่าวันนี้ฝนจะตก O []O++ ไอ้เราก็อะริงาโตะๆอย่างเดียว ฮ่าๆๆๆๆๆ

หลังจากถึงสถานีเราก็ไปนั่งกินอุด้งร้อนๆกัน แล้วจึงเดินทางไปสถานที่ถัดไปค่ะ *^w^*

~ดิ๊อ ดือ ดือ ดือ ดื่อ ดือ ดื๊อ ดือ ดือ~

(กรุณาจินตนาการถึงซาวน์เด็กแว่น)

ใช่แล้วค่ะ! สถานที่ๆเราจะไปนั่นก็คือ พิพิธภัณฑ์โคนัน! (Aoyama Gosho Furusato-kan) โดยการนั่ง JR-San’in Line จาก Tottori Station มาที่ Yura (Conan) Station ค่ะ ในที่นี้เรามีบัตรเบ่ง เราก็ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม แต่ถ้าใครไม่มีก็เสีย 840 เยน ใช้เวลาในการเดินทางประมาณชั่วโมงครึ่งค่ะ

Conan Station

Conan Station's stair

Welcome Conan station

Conan image in the station

ตอนที่เรามาถึง Yura Station ฝนเจ้ากรรมดันตกลงมาค่ะ ลมแรง และหนาวมากด้วย เราจึงตัดสินใจนั่งรถตู้ฟรีจากสถานี ไปที่พิพิธภัณฑ์ ขากลับเราค่อยเดินกลับ เพื่อถ่ายรูป และชมทัศนียภาพค่ะ

Aoyama Gosho Furusato-kan

Conan Museum

Conan The movie 20 promote

Kaito Kid Standy

สำหรับค่าเข้าพิพิธภัณฑ์คนละ 700 เยนตัวบัตรเอาไปเล่น 3-d Character vision ได้ค่ะ ลุ้นว่าเราจะได้ตัวละครตัวไหน ^^

Conan 3d pop up card

ภายในพิพิธภัณฑ์นั้นก็มีแผ่นคำถามวางอยู่ตรงทางเข้าค่ะ ถ้าตอบคำถามได้ครบและถูกต้องทั้งหมด ก็จะได้บัตรมาสะสม โดยที่คำตอบทั้งหมดจะอยู่ภายในพิพิธพัณฑ์นั้นค่ะ

เดินจนครบหมดแล้ว ข้างๆก็มีร้านขายของฝากเด็กแว่น ตั้งแต่ ปฏิทิน ผ้าเช็ดหน้า จิ๊กซอว์ สมุดบันทึก เรื่อยไปจนถึงก้อนแกงกะหรี่ และเซมเบ้ลายเด็กแว่น(ฮา)

รอฝนหยุดตกที่ร้านซักแว๊บนึง(ไม่แว๊บ นึงนะ นานอยู่ ฟาดไอศครีมจากฟาร์มนมไดเซ็นไปสองถ้วย = =”)เราก็เดินกลับค่ะ

Conan Sculpture

Conan Drain cap

Conan Street - Conan manga vol.6

Conan Street - Akai Shuichi

จากนั้นเราก็กลับ Tottori Station เพื่อไปเช็คอิน อาบน้ำ หาอะไรกินยามเย็น ซึ่งตอนแรกเราแพลนกันว่าอยากไปกินร้านตามที่รีวิวใน tabelog.com (เหมือนกับ wongnai ของไทย) ซึ่งนั่นเป็นร้านปูมัสซึบะค่ะ หาร้านกันอยู่ซักพักใหญ่ๆก็เจอ แต่!! ขึ้นไปถึงไม่ได้กิน เพราะพนักงานบอกว่าตกคนละประมาณ 10,000 เยน โอเคมั๊ย แน่นอนว่าเราสองคนไม่โอเค เพราะมันแพงมว๊ากก TwT แต่ถ้าใครอยากกินปูมัสซึบะก็ลองได้นะคะ เพราะที่นี่เป็นแหล่งปูมัสซึบะ และราคาก็ถูกกว่าแหล่งอื่น เราสองคนเลยตัดสินใจกินราเมงริมถนนแทนค่ะ เมนูไม่มีรูปด้วย ไอริอ่านได้นิดหน่อยเลยพอถูๆไถๆได้ รอดตัว ฮ่าๆๆ จากนั้นก็กลับโรงแรมนอนค่ะ

ปล. ฤดูใบไม้ร่วงมืดเร็วมาก แค่ห้าโมงก็มืดเหมือนทุ่มนึงบ้านเราแล้วค่ะ อยู่ทตโตริ ตอนเย็นๆซักห้า หกโมงก็เริ่มหาอะไรกินได้แล้วนะคะ ร้านรวงปิดไวมากๆ ไม่เหมือนในเมืองใหญ่ๆ สองทุ่มนี่เรียกว่าแทบจะร้างเลยค่ะ ฮ่าๆๆ

つづく

Japan Aki trip – 2015-11-07

สวัสดีค่าา วันนี้มาพบกับไอริอีกครั้งนึงนะคะ

ไอริเพิ่งกลับมาจากไปเที่ยวญี่ปุ่นค่ะ อยากจะบอกว่า

ฟินสรุดตรีนนนนนนนนนนนนน (คำหยาบ ขออภัย)

โดยผู้ร่วมทางในทริปนี้ไม่ใช่ใคร เป็นพี่หมีนั่นเอง O wO/

เราแพลนไปกันทั้งหมด 3 จังหวัดค่ะ ทตโตริ เกียวโต โอซาก้า ทริปนี้มีความหมายสำหรับไอริมาก เพราะถ้าใครติดตาม เป้าหมายของไอริ ละก็จะรู้ว่านี่ไม่ใช่แค่การไปเที่ยวพักผ่อน แต่มันคือ “ความฝัน” ของไอริค่ะ อาจจะยาวหน่อย แต่อยากให้ติดตามกันค่ะ ^^

…Day 1 2015-11-07…

เวลาประมาณบ่ายสามโมงครึ่งตามเวลาประเทศไทย เราสองคนออกจากท่ากาศยานดอนเมือง โดยเครื่องบินหางแดงยอดฮิต เพื่อมุ่งหน้าสู่ท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ จังหวัดโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ต้องท้าวความไปก่อนหน้านี้ว่า ไอรินับวันรอตั้งแต่ 3 เดือนที่แล้ว ฮ่าๆๆ (อีโคตรเห่อ) พอเครื่องบิน ขึ้นปั๊บคือกรี๊ดค่ะ ฮ่าๆๆๆ (จะเหลือเหรอ) ใช้เวลาบินประมาณ 6 ชั่วโมง แน่นอนว่าเพื่อไม่ให้น่าเบื่อจนเกินไปตอนอยู่ในเครื่อง เราสองคนเลย โหลดหนังมาดูบนมือถือ =.,=” แต่ก็นั่นแหละ แป๊ปๆก็จะถึงที่หมายแล้วค่ะ >w< พอถึงวินาทีที่เครื่องบินแตะพื้นสนามบินปั๊บบบ ก็ตามสเต็ปเดิม กรี๊ดอีกแล้วค่าา ฮ่าๆๆๆ “นี่ชั้นไม่ได้ฝันไปใช่ม๊ายย” ทำนองนั้นเลยค่ะ

เวลาห้าทุ่มตามประเทศญี่ปุ่นซึ่งเร็วกว่าไทย 2 ชั่วโมง ในที่สุดก็ถึงค่ะ!!! ข้างล่างสนามบินมีไฟคอยปูตำแหน่งเต็มเลย สวยมว๊าก

เราสองคนหลังจากลงเครื่องแล้ว ก็นั่งรถไฟเล็กๆ เพื่อไป terminal กัน หลังจากต.ม. ตรวจเอกสารเสร็จ เราก็ไปหยิบกระเป๋า พอหยิบเสร็จปั๊ป ก็รีบวิ่งด้วยความเร็วแสงไป KIX Lounge ที่อยู่ใกล้ๆกับ มัคคุโดนัลหลุ(แมคโดนัลด์ อ่านแบบญี่ปุ่น) ที่อยู่ชั้น 2 ค่ะ >w<

แต่…! พอไปถึงปุ๊ป ปรากฎว่า ที่ๆจะนอนได้เต็มซะแล้ว เราก็เลยเลือกนอนที่ๆโซนคอมพิวเตอร์ค่ะ TwTa

อ้อ! ลืมบอกค่ะ การที่จะเข้า Lounge ได้ มีค่าใช้จ่ายค่ะ ชั่วโมงแรกอยู่ที่ 310 เยน ยื่นพร้อม passport จ่ายทีหลัง เค้าจะให้บัตรพร้อม stamp เวลามาค่ะ แต่ถ้าอยู่นานขึ้น ราคาก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย สมาชิกบัตรเครดิต JCB ได้อยู่ฟรีประมาณ 2 ชั่วโมงค่ะ เข้าไปแล้ว ถ้าจะออกไปข้างนอกแล้วกลับเข้ามาไม่ได้นะคะ เค้าจะคิดเงินทันทีที่เราออกไป ใน Lounge นั้นจะมี เครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับที่นั่งโซนคอม Softdrink ฟรี Manga และ Magazine ภาษาญี่ปุ่นอ่านฟรี ห้องน้ำ โต๊ะเครื่องแป้ง และห้องอาบน้ำค่ะ ถ้าใครจะอาบน้ำต้องจองนะคะ เพราะตอนประมาณตีสามเกือบๆตีสี่ ไอริถามเค้าเรื่องการใช้ห้องอาบน้ำค่ะ เค้าเลยถามกลับมาว่า Did you reserve? ไอริแอบสตั๊นไปเลย

ไอริอยู่ที่ Lounge ได้ประมาณ 6 ชั่วโมง ยื่นใบสแตมป์เวลาปั๊บ จ่ายไป 2670 เยนค่ะ คุยๆกับพี่หมีอยู่ รู้งี๊น่าจะนอนข้างนอกดีกว่า มีตู้กดน้ำกับมินิมาร์ทก็ไม่ได้ลำบากอะไร ไป Aeroplaza ที่อยู่ Terminal 2 ดีกว่า หลับหน้าคอมละเมื่อย หลับไม่เต็มอิ่มเบย ใครจะใช้ให้รีบๆมานะคะ ตำแหน่งดีๆที่นอนได้มีน้อย TwTa

ปล. ปิดท้ายวันด้วย Matcha Latte อุ่นๆ อร่อยๆ ที่ KIX Lounge ค่า ฟองนุ่มๆ ฟินๆ ^w^

KIX Lounge Green Tea Latte

つづく

ตัวเลข และ ผลลัพธ์

จู่ๆ ไอริก็นึกประโยคนึงที่ว่า “ตัวเลขไม่ต้องใส่ใจมาก เอาแค่ผลลัพธ์ก็พอ”

สถานการณ์ที่เข้ากับประโยคนี้อย่างเช่น….

ในการประชุมกับคน 100 คน กำลังประชุมเลือกหัวหน้า โดยที่มีผู้สมัครอยู่ 2 คน และคุณเป็น 1 ในผู้สมัครนั้น เป้าหมายของคุณคือต้องการขึ้นมาเป็นหัวหน้า ฉะนั้นคุณแค่มีเสียงโหวต 51 เสียง คุณก็ชนะแล้ว ไม่จำเป็นต้องได้ถึง 80-90 เสียง

…หรือแม้แต่…

ในการเรียนในมหาลัย เพื่อให้ได้เกียรตินิยม ก็แค่ทำเกรดให้ได้มากกว่าหรือเท่ากับเกณฑ์ที่เค้ากำหนดไว้ ไม่ต้องเอาถึง 4.00 คุณก็ได้แล้ว

สำหรับไอริ ประโยคนี้ถูกเพียงครึ่งเดียว

สำหรับการคิดวางแผน ประโยคนี้อาจจะใช่ แต่ในความเป็นจริง เราต้องวางแผนในเรื่องการจัดการความเสี่ยง หรือ Risk management

ในความเป็นจริง เราไม่ได้คิดวางแผนแล้วทำมันได้แบบเป๊ะๆทุกครั้งไปหรอก มันจะมีอุปสรรค(Obstacles) อยู่เสมอ

ในกรณีแรก หากเสียงที่เรามีเกิดเปลี่ยนใจไม่โหวตเรา แม้เพียง 1 เสียง เราก็มีคะแนนเท่าฝ่ายตรงข้าม ถ้ามี 2 เสียง เท่ากับว่าเราก็แพ้การโหวตนั้น วิธีการแก้คือ ก่อนวันเปิดโหวตเราอาจจะหาเสียงเพิ่ม มาแทนที่คนที่มีท่าทีลังเลที่จะโหวตเราก็ได้ อย่างน้อยก็เป็นการรับประกันได้ว่า ถึงแม้จะมีเสียงโหวตหายไปซักเสียง ยังไงเราก็ชนะอยู่ดี

ในกรณีที่สอง ถ้าหากเกรดที่เราได้ไม่ถึงเกณฑ์ที่ตั้งไว้ล่ะ เกิดมีคนทำได้มากกว่าเราล่ะ วิธีการแก้ก็คือเราก็ต้องอ่านหนังสือ ทบทวนบทเรียนเพิ่มทำความเข้าใจมากขึ้น พยายามตั้งคำถามกับตัวเองบ่อยๆ เช็คความเข้าใจจากเพื่อนว่าถูกรึเปล่า วิธีนี้ก็เป็นการช่วยลดความเสี่ยงอีกแบบนึงค่ะ

ความมั่นใจเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้ามีมากเกินไปมันจะกลายเป็นความประมาทนะคะ

ทำไมถึงต้องให้เงินพ่อแม่เมื่อทำงาน?

สวัสดีค่า กลับมาพบกับไอริอีกครั้งหนึ่ง

หลายๆคนเรียนจบทำงาน เริ่มมีเงินเดือนละก็ไม่รู้ว่าจะให้เงินพ่อแม่เท่าไหร่ดี

หรือบางคนก็อาจจะคิดว่าฉันจำเป็นต้องให้จริงๆเหรอ แค่ลำพังตัวเองเงินใช้จ่ายก็ยังไม่ค่อยจะมีเลย

เข้าเรื่องกันดีกว่าเนอะ ฮ่าๆๆๆ

ไอริจะมาแชร์ว่าทำไมไอริต้องให้เงินพ่อแม่กันค่ะ

  1. ถ้าคนติดตามบทความอันก่อนๆ จะทราบดีว่าที่บ้านไอริเองก็มีหนี้สินอยู่เหมือนกัน ฉะนั้นจุดประสงค์หลักในการที่ไอริแบ่งเงินให้พ่อแม่คือ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของที่บ้านค่ะ
  2. ซื้อความสุข เพราะว่าตอนที่ไอริให้เงินแม่ตอนที่เงินเดือนออก แม่ไอริก็จะยิ้มแป้นเลยค่ะ คนที่ไม่มีความสุขคงไม่ยิ้มแป้นออกมาใช่มั๊ยคะ ^___^
  3. เติมพลังและอำนาจ อันนี้จะออกแนวทุนนิยมไปซักหน่อย แต่ลองสังเกตุสิคะ คนที่มีเงิน เวลาคิดจะทำอะไรมันก็ทำได้ อยากซื้ออะไรก็ซื้อได้ อยากจะทำอะไรก็ได้ทำ โดยที่ไม่ต้องมาติดเรื่องเงิน คือมีอำนาจในการซื้อนั่นเอง

แต่!!! เห็นอย่างงี๊ไอริให้เงินท่านประมาณ 24% จากเงินเดือนของไอริเองนะะ >__<“

ถึงจะไม่ใช่จำนวนเงินที่มากมายอะไร แต่ก็อยากให้รู้ไว้ว่าเพราะรักจึงให้ไม่เคยขาดนะค๊าา (เน่าไปนั่น)

แต่ส่วนที่เหลือก็ใช้จ่ายส่วนตัวกับเอาไปลงกองทุนนั่นแล =w=

จบละจ้า แค่เล่าให้ฟังเฉยๆ ไม่ได้มีเจตนามาอวดอ้างอะไร

มาหาส่วนลดในการซื้อสินค้าด้วยการขายกระดาษกันเถอะ

…อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา…

สวัสดีค่า คราวนี้เราจะมาแชร์ถึงวิธีการหาตังค์กันค่ะ
หาตังค์…ด้วยการขายกระดาษ…
ไม่ผิดหรอกค่ะ เราจะเอากระดาษไปชั่งกิโลขาย ฮ่าๆๆๆ

ขายหนังสือพิมพ์

เพราะสำหรับไอริแล้ว การทำแบบนี้เปรียบเหมือนกับ การสะสมแต้มซื้อของ
ลองนึกถึงเวลาที่เราไปซื้อของเราก็มีบัตรเอาไว้สะสมแต้มใช่มั๊ยคะ
พอถึงเวลานึง เมื่อแต้มมันมากพอ ก็จะมีประโยชน์ไว้เป็นส่วนลดในการซื้อสินค้าได้
การชั่งกระดาษขายหนังสือพิมพ์เหมือนกันค่ะ
แค่กระดาษไม่กี่แผ่นหรือหนังสิมพิมพ์แค่ไม่กี่เล่ม ถ้าเกิดเราสะสมมันมากพอ

…เราก็สามารถเอามันไปแลกเป็นเงินได้…

ดีกว่าปล่อยให้มันไร้ค่า ปล่อยทิ้งไว้แบบนั้นเมื่อมันไม่มีประโยชน์
ได้มานิดหน่อย พอเป็นค่ากับข้าว หรือส่วนลดในการซื้อของที่เราอยากได้
และทางที่ดี ต้องหากระดาษที่มีต้นทุนที่ต่ำที่สุดค่ะ
อาจจะได้มาจากโบร์ชัวร์ หรือ หนังสือพิมพ์แจกฟรี
แต่หนังสือพิมพ์จะมีราคามากกว่ากระดาษธรรมดานะ
เก็บไปเรื่อยๆ ไม่ต้องเร่งร้อน ช่วยคนแจกเค้า พยายามอย่าปฏิเสธ หยิบมันมา เอามาสะสม
สะสมยิ่งมากก็ยิ่งได้เงินมากค่ะ ^^

ไบเสร็จจากการขายหนังสือพิมพ์

คิดแบบนี้แล้วมันก็ไม่ต่างอะไรกับการสะสมแต้มตามบัตรต่างๆเลยใช่มั๊ยคะ
ล่าสุดแม่ไอริขายได้ประมาณ 4-5 ถุง รวม 66 บาท
ก็พอเป็นค่าน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ของครอบครัวในวันนั้นได้
คิดว่าเหมือนกับแต้มที่เอาไปแลกส่วนลดค่ะ
อย่างน้อยก็ดีกว่าเราต้องจ่ายเงินเต็มจำนวนไปนะ

My Subscribe Beauty Blogger and Guru

สวัสดีค่า วันนี้เราก็จะมาว่ากันด้วยเรื่องความสวยความงามกันค่ะ ( ^^)

ว่ากันด้วย Beauty Blogger กับ Beauty Guru เวลาเราดูจากทาง Youtube หรืออะไรก็แล้วแต่ เราก็มักจะศึกษาเคล็ดลับความสวยความงาม รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ที่พวกนางเหล่านั้นใช้กัน

คือไม่ใช่อะไร เวลาเราดูก็จะเกิดความรู้สึกแบบนี้

ฉันเห็นฉันก็อยากได้บ้างงี๊

นางไปทำอะไรม๊า (เสียงสูง) ฉันก็อยากสวยแบบนี้บ้าง

ของที่เราใช้อยู่มันยังดูไม่ค่อยคลิ๊กกับเรานะ มีอะไรดี มีอะไรมาอัพเดทมั่ง

และอื่นๆอีกมากมาย ตลอดจนบางทีนางๆเหล่านั้นก็คอยอัพเดท Lifestyle อันแสน Happy ดี๊ด๊าของนาง
ส่งสายตาอิจฉาผ่านจอ
( = =)+

ไอริก็ดูไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ และ เรื่อยๆ จนกระทั่งก็หันมาดูแลตัวเองตาม ทำให้ตัวเองดูดีขึ้นเรื่อยๆ (รึเปล่า!?)

ก็นั่นแหละค่า วันนี้จะมาพูดถึงนางๆเหล่านั้นที่ไอริสับตะไคร้ แล้วก็ส่งสายตาผ่านจอกันค่ะ > .<

โมเมพาเพลิน มนุษย์ผู้นี้คงไม่ต้องเอ่ยถึงแต่ประการใดว่านางเป็นใคร ออกจะมีชื่อซะขนาดนี้ สิ่งที่ไอริกับคุณโมเมเป็นเหมือนกันก็คือ เราเป็นมนุษย์หน้ามันค่ะ โดยเฉพาะไอริเป็นมนุษย์ที่หน้ามันมว๊ากกกก * 10 ฉะนั้นเวลาที่เค้าออกคลิป หรือ รีวิวผลิตภัณฑ์อะไรมา เราเองก็จะมโนไปว่า เออ มันก็น่าจะเหมาะกับเราเหมือนกันนะยูวว์ แต่โดยความเห็นส่วนตัวเราว่าสไตล์การแต่งหน้าที่โพสในคลิปจะเป็นแนวหรูๆ ปาร์ตี้ แล้วก็เป็น Everyday look หรือลุคทั่วๆไปไม่ค่อยมีอะไรหวือหวาค่ะ ชอบดูเค้ารีวิวผลิตภัณฑ์มากกว่า > .<“

Pixiwoo คนนี้เป็นกูรูจากอังกฤษค่ะ มีสองคน ชื่อ Sam กับ Nic แต่งได้หลายแนว แล้วก็เก่งมากๆ ตั้งแต่ ลุคธรรมดาๆ ไปจนถึงแต่งหน้าแนวแฟนซี เช่น แม่มด หรือ แฟรงค์เกนสไตล์ แล้วนางก็ยังเป็นเจ้าของแบรนด์แปรงแต่งหน้าที่ไอริเลิฟมากๆ นั่นก็คือ Real Technique แปรงแบบนุ่มมากๆ ไม่มีขนหลุดเลย ชอบดูเหล่านางๆแต่งหน้าค่า

Michelle Phan นางคนนี้ชอบเพราะเค้ามีรีวิวการรักษาหน้าโดยใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติค่ะ อาทิเช่น น้ำผึ้ง ข้าวโอ๊ต ว่านหางจรเข้ คือเป็นผลิตภัณฑ์ DIY ต่างๆ รูปแบบการนำเสนอที่ทำออกมาก็น่าติดตาม ที่สำคัญ Beauty Tips เยอะมากค่ะ ( ^^)

Bubzbeauty คนนี้ก็ติดตามตั้งแต่ไอริเริ่มดูอะไรที่เกี่ยวกับความสวยความงาม ผิวนางคือสวยละก็ดูอิ่มน้ำมาก ไอริก็เลยดูเคล็ดลับที่นางดูแลผิวค่ะ จนตอนนี้นางก็มีลูกละ > .<“

Fleur De Force สับตะไคร้คนนี้ติดตามเรื่องทั่วๆไปเกี่ยวกับ Beauty รวมถึง Fashion haul ค่ะ ชอบดูเค้ารีวิวผลิตภัณฑ์

Pearypie คนนี้ก็ไม่ต้องพูดถึงแต่อย่างใด เป็นกูรูที่มีความสามารถ Adaptation เป็นอย่างสูง ทั้งการผสมสีลิปสติก ทั้ง Trick การแต่งหน้า แต่ติดอย่างเดียวตรงที่นานน๊านจะอัพเดทที ( = =)”

ทั้งหมดนี้ไม่ได้รับค่าโฆษณามาจากใครทั้งนั้นนะยูวว์

My daily life with classic train at Bangkok

 

 

สวัสดีค่าพบกับไอริอีกครั้งนึง

รอบนี้มาอัพเดทบล็อกในมือถือ เพราะอยากเขียนพอดี (เกี่ยวมั๊ย?)

วันนี้เราจะมาทำความรู้จักรถไฟฟรีในบางกอกที่วิ่งเส้นวงเวียนใหญ่ – มหาชัย กันนะค๊า

แท่น แทน แท๊น และนี่คือหน้าตาของสถานี

สถานีรถไฟ

14170031854891278432603

จากหัวข้อทำไมถึงเป็น Daily Life กันนะ?

ก็เพราะว่าไอริใช้รถไฟฟรีเป็นหนึ่งในพาหนะไปทำงาน และกลับบ้านนั่นเองค่า

14170038588221727535774

ถึงจะเป็นของฟรีเค้าก็แจกตั๋วด้วยนะเออ

Q: ถามถึงประสบการณ์การนั่งรถไฟฟรีครั้งแรกเป็นไง?

A: ตื่นเต้นดี เวลารถวิ่ง ถึงสถานีไหนแล้วก็ไม่รู้ ฮ่าๆๆๆ

Q: ทำไมอ่ะ

A: ทุกขบวนมีป้าย LED บอกนะ น้อยขบวนที่ป้ายจะใช้ได้ นอกนั้นแล้วแต่ความคุ้นชินทิศทางของเรา กับนายขบวนที่แล้วแต่เค้าว่าเค้าจะบอกสถานีที่จอดให้รึเปล่าว่าเป็นสถานีอะไร

Q: ความรู้สึกในการนั้งรถไฟครั้งแรก?

A: กรุงเทพมีวิวแบบนี้ด้วยเหรออเนี่ยย!!~ มีแต่ป่า ดง พง หญ้า สวน

Q: เส้นทางที่รถวิ่งผ่านไปทางไหนมั่ง

A: ก็ตั้งแต่วงเวียนใหญ่ตรงถนนสมเด็จพระเจ้าตากสิน วิ่งไปตลาดพลู จอมทอง วัดไทร วัดสิงห์ บางบอน การเคหะ เรื่อยไปถึงมหาชัยอ่าจ้า

Q: ความประทับใจในการนั่งรถไฟ?

A: รถไม่ติดค่ะ ชิวๆ ฮ่าๆๆๆ

Q: อยู่ไกลจาก BTS วงเวียนใหญ่ป่ะ

A: พอประมาณนะ เดินไปก็ใช้เวลา 10-15 นาที

Q: มีไรฝากถึงคนที่คิดจะนั่งมั๊ย

A: ตอนเช้าในชั่วโมงเร่งด่วนคนอย่างเยอะ

จะลงรถแล้ว ลาแล้วจ้า~

แชร์ประสบการณ์เด็กจบใหม่มีเงินกว่าครึ่งแสน

สวัสดีค่า ก่อนอื่นเห็นจั่วหัวขนาดนี้อย่าคิดว่าโม้นะ ฮ่าๆๆ (แต่เอ็งก็โม้จริงๆอ่ะแหละ)

ก่อนหน้านี้เราเคยตั้งเป้าหมายไว้ว่า อยากจะมีเงินล้านก่อน 30 เนอะ

วันนี้ก็เลยจะมาพูดถึงวิธีของไอริที่คิดว่าเป็นวิธีที่จะไปสู่เป้าหมายนี้กันค่ะ ( ^^)

ไอริเริ่มมาคิดเรื่องเงินจริงๆจังๆตอนสมัยเรียน ปี 2 ที่เริ่มรับทำงานเป็นนักศึกษาทุนจ้างงานค่ะ

นอกจากทุนจ้างงานแล้ว ตอนที่เรียนก็ได้ทุนเรียนดีของมหาลัยช่วยพ่อแม่จ่ายค่าเทอม ค่าหอด้วย

สี่ปีที่เรียนมาก็เลยช่วย Save ค่าเทอมไปได้ประมาณเกือบครึ่ง

แต่ว่าแค่นี้ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองเก่งอะไรนะ เพราะเพื่อนไอริบางคน เป็นเจ้าของกิจการตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ บางคนก็ทำงานส่งตัวเองเรียนตลอด 4 ปีก็มี

ตอนแรกก็เหมือนเด็กๆทั่วไปที่พอทำงานได้เงินมาก็ดี๊ด๊า อยากทำโน่นทำนี่

ไอริก็จัดเลย ตอนนั้นอยากสวย เริ่มซื้อเครื่องสำอางค์ ตามพวก Beauty Blogger ต่างๆที่เค้าแนะนำว่าดี แนะนำว่าเด็ด

จนตอนนี้มีอยู่เต็มลิ้นชัก แต่เอามาใช้ในชีวิตประจำวันจริงๆ แค่ประมาณ 30% ของของที่มีอยู่ ( = = )”

แต่กิเลสมนุษย์มันไม่เคยพอค่ะ พออยากได้แล้วก็ต้องอยากได้อีกเป็นธรรมดา

ถ้าเราไม่คุมมัน เวลาที่เราจะใช้เงินจริงๆมันจะไม่มีนะ

ด้วยเหตุนี้ก็เลยตั้งเป้าหมายการเก็บเงินเอาไว้ ตอนแรกก็ศึกษาพวกบัญชีเงินฝาก อะไรที่ว่าดอกเบี้ยเยอะๆ เราก็ฝากค่ะ ฮ่าๆๆ

เก็บเงินได้จนกระทั่ง มีเงินซื้อแหวนทอง กับต่างหูทองให้แม่ ภายใน 2 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้ราคาอาจจะดูไม่ได้หรูหราอะไร แต่มันก็ทำให้คนที่เรารักดีใจ ( ^^)

จนความโลภมันก็เข้าครอบงำแบบพอดีๆ(?) เลยหันมาสนใจการวางแผนทางการเงิน อัตราแลกเปลี่ยน หุ้น กองทุน บลาๆๆ

จนตอนนี้ไอริทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน ก็ตั้งเป้าหมายไว้ทุกๆเดือนว่า ให้หัก 20% ของเงินเดือนเอาไปออม หรือลงทุนอะไรซักอย่างนึง

แล้วห้ามถอนออกมาอีก ไม่ว่าสถานการณ์จะบีบบังคับให้เราต้องใช้เงินมากแค่ไหน

เคล็ดลับของการออมเงินจริงๆแล้วมันไม่ได้อยู่ที่ไหนไกลเลย มันอยู่ที่ตัวเราเอง ในคำนี้

“วินัย”

จนตอนนี้ไอริมีเงินเก็บ และ สินทรัพย์รวมกว่าครึ่งแสนแล้วค่ะ \( ^^)/

Page 1 of 2

Powered by WordPress & Theme by Anders Norén