愛梨ちゃんのブロク

เรื่องบ่นๆ บ้าๆ บอๆ ของไอริ

愛梨ちゃんのブロク

Tag: airiaru Page 1 of 3

Kamen Rider ~ Let’s Go!! Rider Kick ~

หายหน้าหายตาไปนานวันนี้ไอริกลับมาแล้วค่า~

ช่วงนี้ไม่รู้จับพลัดจับผลูเป็นไงมาไง ติดหนังสมัยเด็กเฉย > <“

แถมเป็นการ์ตูนที่คิดว่าเด็กผู้หญิงก็ไม่น่าจะดู(มั๊ง) เพราะเป็นหนังยอดมนุษย์แปลงร่างงี๊

และยังเป็นเรื่องเก่าๆดังสมัยที่พ่อไอริยังเป็นเด็กอีกต่างหาก > <“

แต่สารภาพเรื่องนึงคือ ไอริแทบจะไม่ได้ดูเนื้อเรื่องเลย กรอมาดูผู้ชายรูปข้างล่างนี้ตลอดๆ

Screenshot_2015-09-21-06-45-05[1]

Screenshot_2015-09-20-17-43-14[1]

Screenshot_2015-09-17-22-57-52[1]

อร๊ากกกกกกกกกก น่ารักกกกกกกกกก >////////////<♥

ใช่แล้ว~! คนๆนี้ก็คือ อิจิมอนจิ ฮายาโตะ ซึ่งแสดงนำโดย ซาซากิ ทาเคชิซังค่า (*^-^*)

ดูไป เห็นหน้าไป ก็ Capture ไป น่ารักได้อีก >///<

อิจิมอนจิ ฮายาโตะ เป็นตากล้องที่ขี้เล่น น่ารัก สดใส เก่ง มีความมั่นใจในตัวเอง

ไอริก็เลยเรียกว่า พี่ฮายาโตะ เพราะอยากได้มาเป็นพี่ชาย >///<

เพ้อมาเยอะแล้ว แปลเพลง OP โลด คำก็มีซ้ำๆกัน ไวยากรณ์ก็ง่าย แปลก็ง่ายด้วย O wO/

迫るショッカー 地獄の軍団
Semaru Shokka Jigoku no Gundan
ช็อกเกอร์ใกล้เข้ามา เหล่าทหารจากนรก

我等をねらう 黒い影
Warera o nerau Kuroi kage
เงาดำเล็งมาที่เรา

世界の平和を 守るため
Sekai no heiwa o mamoru tame
เพื่อปกป้องความสงบสุขของโลก

ゴーゴー・レッツゴー 輝くマシン
Go Go Let’s Go Kagayaku Mashin
ไป ไป สู้ไป เครื่องจักรกลที่ส่องประกาย

ライダー「ジャンプ!」
Rida Janpu!
Rider Jump!

ライダー「キック!」
Rida Kikku!
Rider Kick!

仮面ライダー 仮面ライダー
Kamen Rida Kamen Rida
มาร์สไรเดอร์ มาร์สไรเดอร์

ライダー ライダー
Rida Rida
Rider Rider

迫るショッカー 悪魔の軍団
Semaru Shokka Akuma no Gundan
ช็อกเกอร์ใกล้เข้ามา เหล่าทหารปีศาจ

我が友ねらう 黒い影
Wa ga tomo nerau Kuroi kage
เงาดำเล็งมาที่เพื่อนของเรา

世界の平和を 守るため
Sekai no heiwa o mamoru tame
เพื่อปกป้องความสงบสุขของโลก

ゴーゴー・レッツゴー 真紅のマフラー
Go Go Let’s Go Shinku no Mafura
ไป ไป สู้ไป ผ้าพันคอสีแดง

ライダー「ジャンプ!」
Rida Janpu!
Rider Jump!

ライダー「キック!」
Rida Kikku!
Rider Kick!

仮面ライダー 仮面ライダー
Kamen Rida Kamen Rida
มาร์สไรเดอร์ มาร์สไรเดอร์

ライダー ライダー
Rida Rida
Rider Rider

迫るショッカー 恐怖の軍団
Semaru Shokka  Kyoufu no Gundan
ช็อกเกอร์ใกล้เข้ามา เหล่าทหารแห่งความกลัว

我が町ねらう 黒い影
Wa ga machi nerau Kuroi kage
เงาดำเล็งมาที่เมืองของเรา

世界の平和を 守るため
Sekai no heiwa o mamoru tame
เพื่อปกป้องความสงบสุขของโลก

ゴーゴー・レッツゴー 緑の仮面
Go Go Let’s Go Midori no Kamen
ไป ไป สู้ไป หน้ากากเขียว

ライダー「ジャンプ!」
Rida Janpu!
Rider Jump!

ライダー「キック!」
Rida Kikku!
Rider Kick!

仮面ライダー 仮面ライダー
Kamen Rida Kamen Rida
มาร์สไรเดอร์ มาร์สไรเดอร์

ライダー ライダー
Rida Rida
Rider Rider

Special Credit: Tiga Youtube Channel ที่ให้เอาการ์ตูนมาลง ทำให้เราสามารถแคปรูปหล่อๆของพี่ฮายาโตะ และ เนื้อเพลงภาษาญี่ปุ่นจาก j-lyric.net > <

ตัวเลข และ ผลลัพธ์

จู่ๆ ไอริก็นึกประโยคนึงที่ว่า “ตัวเลขไม่ต้องใส่ใจมาก เอาแค่ผลลัพธ์ก็พอ”

สถานการณ์ที่เข้ากับประโยคนี้อย่างเช่น….

ในการประชุมกับคน 100 คน กำลังประชุมเลือกหัวหน้า โดยที่มีผู้สมัครอยู่ 2 คน และคุณเป็น 1 ในผู้สมัครนั้น เป้าหมายของคุณคือต้องการขึ้นมาเป็นหัวหน้า ฉะนั้นคุณแค่มีเสียงโหวต 51 เสียง คุณก็ชนะแล้ว ไม่จำเป็นต้องได้ถึง 80-90 เสียง

…หรือแม้แต่…

ในการเรียนในมหาลัย เพื่อให้ได้เกียรตินิยม ก็แค่ทำเกรดให้ได้มากกว่าหรือเท่ากับเกณฑ์ที่เค้ากำหนดไว้ ไม่ต้องเอาถึง 4.00 คุณก็ได้แล้ว

สำหรับไอริ ประโยคนี้ถูกเพียงครึ่งเดียว

สำหรับการคิดวางแผน ประโยคนี้อาจจะใช่ แต่ในความเป็นจริง เราต้องวางแผนในเรื่องการจัดการความเสี่ยง หรือ Risk management

ในความเป็นจริง เราไม่ได้คิดวางแผนแล้วทำมันได้แบบเป๊ะๆทุกครั้งไปหรอก มันจะมีอุปสรรค(Obstacles) อยู่เสมอ

ในกรณีแรก หากเสียงที่เรามีเกิดเปลี่ยนใจไม่โหวตเรา แม้เพียง 1 เสียง เราก็มีคะแนนเท่าฝ่ายตรงข้าม ถ้ามี 2 เสียง เท่ากับว่าเราก็แพ้การโหวตนั้น วิธีการแก้คือ ก่อนวันเปิดโหวตเราอาจจะหาเสียงเพิ่ม มาแทนที่คนที่มีท่าทีลังเลที่จะโหวตเราก็ได้ อย่างน้อยก็เป็นการรับประกันได้ว่า ถึงแม้จะมีเสียงโหวตหายไปซักเสียง ยังไงเราก็ชนะอยู่ดี

ในกรณีที่สอง ถ้าหากเกรดที่เราได้ไม่ถึงเกณฑ์ที่ตั้งไว้ล่ะ เกิดมีคนทำได้มากกว่าเราล่ะ วิธีการแก้ก็คือเราก็ต้องอ่านหนังสือ ทบทวนบทเรียนเพิ่มทำความเข้าใจมากขึ้น พยายามตั้งคำถามกับตัวเองบ่อยๆ เช็คความเข้าใจจากเพื่อนว่าถูกรึเปล่า วิธีนี้ก็เป็นการช่วยลดความเสี่ยงอีกแบบนึงค่ะ

ความมั่นใจเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้ามีมากเกินไปมันจะกลายเป็นความประมาทนะคะ

ทำไมถึงต้องให้เงินพ่อแม่เมื่อทำงาน?

สวัสดีค่า กลับมาพบกับไอริอีกครั้งหนึ่ง

หลายๆคนเรียนจบทำงาน เริ่มมีเงินเดือนละก็ไม่รู้ว่าจะให้เงินพ่อแม่เท่าไหร่ดี

หรือบางคนก็อาจจะคิดว่าฉันจำเป็นต้องให้จริงๆเหรอ แค่ลำพังตัวเองเงินใช้จ่ายก็ยังไม่ค่อยจะมีเลย

เข้าเรื่องกันดีกว่าเนอะ ฮ่าๆๆๆ

ไอริจะมาแชร์ว่าทำไมไอริต้องให้เงินพ่อแม่กันค่ะ

  1. ถ้าคนติดตามบทความอันก่อนๆ จะทราบดีว่าที่บ้านไอริเองก็มีหนี้สินอยู่เหมือนกัน ฉะนั้นจุดประสงค์หลักในการที่ไอริแบ่งเงินให้พ่อแม่คือ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของที่บ้านค่ะ
  2. ซื้อความสุข เพราะว่าตอนที่ไอริให้เงินแม่ตอนที่เงินเดือนออก แม่ไอริก็จะยิ้มแป้นเลยค่ะ คนที่ไม่มีความสุขคงไม่ยิ้มแป้นออกมาใช่มั๊ยคะ ^___^
  3. เติมพลังและอำนาจ อันนี้จะออกแนวทุนนิยมไปซักหน่อย แต่ลองสังเกตุสิคะ คนที่มีเงิน เวลาคิดจะทำอะไรมันก็ทำได้ อยากซื้ออะไรก็ซื้อได้ อยากจะทำอะไรก็ได้ทำ โดยที่ไม่ต้องมาติดเรื่องเงิน คือมีอำนาจในการซื้อนั่นเอง

แต่!!! เห็นอย่างงี๊ไอริให้เงินท่านประมาณ 24% จากเงินเดือนของไอริเองนะะ >__<“

ถึงจะไม่ใช่จำนวนเงินที่มากมายอะไร แต่ก็อยากให้รู้ไว้ว่าเพราะรักจึงให้ไม่เคยขาดนะค๊าา (เน่าไปนั่น)

แต่ส่วนที่เหลือก็ใช้จ่ายส่วนตัวกับเอาไปลงกองทุนนั่นแล =w=

จบละจ้า แค่เล่าให้ฟังเฉยๆ ไม่ได้มีเจตนามาอวดอ้างอะไร

การเรียน สำคัญจริงๆรึเปล่านะ…?

เห็นไอริจั่วหัวมาซะขนาดนี้ไม่ได้แปลในทำนองว่า “อย่าเรียนเลย ไปทำอย่างอื่นดีกว่า” นะ ฮ่าๆ

เหตุที่เขียน Title แบบนี้เราจะมา Discuss ในเรื่องนี้ค่ะ

ต้องบอกก่อนว่าเหตุผลที่เขียนเรื่องนี้เพราะไอริเห็นตาม Internet ด้วยประโยคที่ว่า…

Bill Gates ไม่เรียนหนังสือ…เป็นเจ้าของ Microsoft

Steve Jobs ลาออกจากโรงเรียน…เป็นเจ้าของ Apple

ตัวเอง เรียนหนังสือ…เป็นลูกจ้างธรรมดาๆ

หรือว่า Comment แบบนี้…

ไม่เห็นต้องเรียนเก่งเลย เรียนไปก็เอาไปทำอะไรไม่ได้ คนที่ไม่เรียนแต่ประสบความสำเร็จมีเยอะแยะ

หรือว่าความคิดแบบนี้…

ไม่อยากเรียนหนังสือแล้ว เรียนไปทำไม ออกมาทำธุรกิจดีกว่า

ตรรกะแบบนี้…ถูกต้องแล้ว..จริงเหรอ?…

คำตอบในความคิดของไอริคือ…ไม่รู้ค่ะ

แต่ไอริเชื่ออย่างนึงว่าคนที่เค้าทำแบบนี้ อย่างน้อยเค้าต้องมี “เป้าหมาย” และ “แผนการ”

ไม่ใช่สักแต่พูด เอาแต่บ่น แล้วก็ออกจากการเรียน โดยที่ไม่มีแผน ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีอะไรเลย

พอออกมาทำมันก็ทำได้แค่ครึ่งๆกลางๆ ทำลอยๆ กะรวย เผื่อฟลุ๊ก สุดท้ายก็เจ๊ง

แล้วคนที่เดือดร้อนไม่ได้มีแค่คุณ แต่มีคนที่เค้ารักเค้าเป็นห่วงคุณ เค้าจะพลอยเป็นเดือดเป็นร้อนไปด้วย

สุดท้าย..บางคนก็ต้องระเห็จไปหางานทำ ทั้งๆที่ยังเรียนไม่จบ

งานที่ทำส่วนใหญ่เค้ารับวุฒิการศึกษาขั้นต่ำปริญญาตรี ในเมื่อเรียนไม่จบแล้ว จะเอาวุฒิอะไรไปสมัครงาน?

แต่ก็อาจจะยกเว้นสำหรับคนที่มีความสามารถจริงๆ ใช้ความสามารถของตัวเองพิสูจน์

ฉะนั้นสำหรับไอริ การเรียน เปรียบเสมือนฟูกเอาไว้รองรับในกรณีที่เราหล่นลงมาค่ะ

ถึงแม้คุณจะปีนขึ้นที่สูงไม่สำเร็จ แต่อย่างน้อยตอนคุณตกลงมาจะได้ไม่ต้องเจ็บตัวมาก

ไอริเคยได้ยินคำพูดที่ว่า…

ในการทำธุรกิจ 3 ใน 10 คนเท่านั้นที่จะประสบความสำเร็จ

ณ ตอนที่เราทำ เราไม่รู้หรอก ว่าเราอยู่ในกลุ่ม 3 คน หรือ เราอยู่ในกลุ่ม 7 คนกันแน่

ถ้าเป็นกลุ่ม 3 คนก็คงจะเป็นคนเก่งจริงๆ แต่ถ้าเป็นกลุ่มใน 7 คนนั้นล่ะ เราจะมีวิธีรับมือยังไง…?

ฉะนั้นไอริแนะนำว่า ถ้าตัวเรายังไม่มีแผนและเป้าหมายที่ชัดเจนก็ เรียนไปเถอะ

การเรียนไม่เคยทำให้ใครเสียหาย แต่ทั้งนี้การเรียนที่ดีจะต้องเรียน “เพื่อความรู้” ไม่ใช่เรียน “เพื่อใบปริญญา”

เพราะใบปริญญาที่ปราศจากความรู้ มันก็เป็นเหมือนเศษกระดาษดีๆนี่เอง

แต่สำหรับคนที่ไม่มีความรู้ ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีแผนการอะไรเลย แล้วจู่ๆก็มาบอกว่า อย่าไปเรียนเลย เรียนไปแล้วได้อะไร เรียนไปทำไม ออกไปทำอย่างอื่นดีกว่า จะได้ประสบความสำเร็จ ดีกว่าเยอะ

แค่คิดแบบนี้ก็เป็นคนขี้แพ้แล้วค่ะ

แต่ถ้าคิดแล้วเริ่มตั้งเป้าหมาย เริ่มวางแผน แล้วเริ่มลงมือทำแบบนี้คุณอาจจะไม่เป็นคนขี้แพ้แล้วก็ได้นะ อย่าดูถูกตัวเองนะคะ 😛

มาหาส่วนลดในการซื้อสินค้าด้วยการขายกระดาษกันเถอะ

…อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา…

สวัสดีค่า คราวนี้เราจะมาแชร์ถึงวิธีการหาตังค์กันค่ะ
หาตังค์…ด้วยการขายกระดาษ…
ไม่ผิดหรอกค่ะ เราจะเอากระดาษไปชั่งกิโลขาย ฮ่าๆๆๆ

ขายหนังสือพิมพ์

เพราะสำหรับไอริแล้ว การทำแบบนี้เปรียบเหมือนกับ การสะสมแต้มซื้อของ
ลองนึกถึงเวลาที่เราไปซื้อของเราก็มีบัตรเอาไว้สะสมแต้มใช่มั๊ยคะ
พอถึงเวลานึง เมื่อแต้มมันมากพอ ก็จะมีประโยชน์ไว้เป็นส่วนลดในการซื้อสินค้าได้
การชั่งกระดาษขายหนังสือพิมพ์เหมือนกันค่ะ
แค่กระดาษไม่กี่แผ่นหรือหนังสิมพิมพ์แค่ไม่กี่เล่ม ถ้าเกิดเราสะสมมันมากพอ

…เราก็สามารถเอามันไปแลกเป็นเงินได้…

ดีกว่าปล่อยให้มันไร้ค่า ปล่อยทิ้งไว้แบบนั้นเมื่อมันไม่มีประโยชน์
ได้มานิดหน่อย พอเป็นค่ากับข้าว หรือส่วนลดในการซื้อของที่เราอยากได้
และทางที่ดี ต้องหากระดาษที่มีต้นทุนที่ต่ำที่สุดค่ะ
อาจจะได้มาจากโบร์ชัวร์ หรือ หนังสือพิมพ์แจกฟรี
แต่หนังสือพิมพ์จะมีราคามากกว่ากระดาษธรรมดานะ
เก็บไปเรื่อยๆ ไม่ต้องเร่งร้อน ช่วยคนแจกเค้า พยายามอย่าปฏิเสธ หยิบมันมา เอามาสะสม
สะสมยิ่งมากก็ยิ่งได้เงินมากค่ะ ^^

ไบเสร็จจากการขายหนังสือพิมพ์

คิดแบบนี้แล้วมันก็ไม่ต่างอะไรกับการสะสมแต้มตามบัตรต่างๆเลยใช่มั๊ยคะ
ล่าสุดแม่ไอริขายได้ประมาณ 4-5 ถุง รวม 66 บาท
ก็พอเป็นค่าน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ของครอบครัวในวันนั้นได้
คิดว่าเหมือนกับแต้มที่เอาไปแลกส่วนลดค่ะ
อย่างน้อยก็ดีกว่าเราต้องจ่ายเงินเต็มจำนวนไปนะ

Automated testing 101

สวัสดีค่า วันนี้จะว่าด้วยเรื่องของ automated testing นะค๊า

เมื่อวันอังคารไอริได้มีโอกาสไปสัมมนาที่ Software park ในหัวข้อ Automated testing มามะมา “โชว์ของ” กัน (เห็นแบบนี้ไอริไม่มีของอะไรไปโชว์หรอกนะ ฮ่าๆๆ)

เรื่องนี้ก็จะว่าด้วยการ Test ระบบ โดยที่ใช้ระบบเข้ามา Test (เอ๊ะ!?)

ก่อนอื่นเข้าไป ที่นี่ เพื่อความเข้าในในการ Test มาขึ้นนะค๊า (มั้ง!?)

Automated testing seminar

โดยรวมแล้ว Automated Test มีไว้เพื่อช่วยมนุษย์ในการทำงานหรือ Test product ในขั้นตอนเดิมๆ ซ้ำๆ เป็นการลดเวลา Test และเพิ่ม Productivity ในการทำงาน ดังนั้น อะไรที่มันต้องทำงานแบบเดิมๆ ซ้ำๆ ก็ automate มันซะ (ประโยคนี้ก๊อบคุณพี่วิทยากรมา)

แต่!! ไม่ได้หมายความว่ามี automated test แล้วจะไม่มี manual test นะ อย่างที่บอก อะไรที่มันต้องทำเรื่อยๆ ซ้ำๆ ก็ automate ดีกว่า อะไรที่มันไม่ค่อยได้ทำก็ manual เอาดีกว่า เพราะ cost ที่เสียไปกับ automated testing มันเยอะเมื่อเทียบกับ manual test แต่ cost ที่ทำ automated testing มันจะค่อยๆลดลงในระยะยาว เพราะมันทำครั้งเดียวไง แต่ manual test cost มันจะเท่าเดิมไปเรื่อยๆ ไม่มีลด

สำหรับใครที่อยากรู้เพิ่มเติมดูรายละเอียดและslideได้ที่ http://www.somkiat.cc/sharing-automated-testing/

การสัมมนาแต่ละทีไอริว่ามันได้เปิดโลกไอริมากๆเลยนะ ได้รู้อะไรที่ไม่รู้ตั้งเยอะแยะ ^^

ว่าด้วยเรื่อง Test Case

วันนี้มาพบกับไอริในโหมด Geek (ใส่แว่นแปป)

อะแฮ่ม!!

เชื่อว่าคนที่เป็น Programmer/ Software Engineer/ Developer หลายคนเขียนโค๊ดที่เป็นในส่วนของงานเสร็จแล้ว ก็ส่งงานให้ลูกค้าTest รันผ่าน ไร้บัค ลูกค้าบอก Go-Live ก็จบใช่มั๊ยคะ!!

ตอบบบบบ!!

นั่นการเขียนโค๊ดที่ไร้ซึ่ง Quality นะคร๊ะะะะ (ว่าไปนั่น)

ดังนั้นเราจะมา Control Quality ด้วยการเขียน Test Case กันค่าา O wO/

แล้วการเขียน Test Case คืออะไรล่ะ?

Test Case ก็คือการเขียน Code เพื่อพิสูจน์ว่า Code ที่เราจะส่งงานไปเนี่ย มันทำงานได้จริงๆนะตะเอง ไม่ได้โกหกไก่กาอาราเล่

แล้วไอ้ Test Case มันคืออะไรล่ะ?

มันก็คือสถานการณ์ และความเป็นไปได้ทั้งหมดที่ๆโค๊ดเราควรจะเป็น ยกตัวอย่างเช่น การ Log in เข้าหน้าเว็บ Test case ทั้งหมดควรจะมีก็คือ

  • User สามารถ Log in ได้โดยการใส่ Username และ Password ที่ถูกต้อง
  • User ไม่สามารถ Log in ได้ ถ้า Username หรือ Password ไม่ตรงกับค่าที่เก็บไว้
  • User ไม่สามารถ Log in ได้ ถ้าไม่ได้ใส่ค่า Username หรือ Password
  • ถ้า User ไม่ได้ใส่ Username หรือ Password ต้องมีข้อความแจ้งเตือนว่าไม่ได้ใส่
  • ฯลฯ

แค่เขียนโค๊ดส่งงานให้ลูกค้าก็จะตายละ ทำไมต้องมาเขียน หรือทำอะไรแบบนี้ด้วยเนี่ย?

อย่างที่บอกในตอนแรกคือเพื่อการ Control Quality โค๊ดค่ะคุณ ลองนึกสิว่าเราส่งงานไปทั้งๆที่ไม่มี Test Case เนี่ย แล้ววันดีคืนดีคนอื่นกลับมาแก้งานของเรา แล้วโค๊ดที่เค้าแก้มันดั๊น ทำให้งานที่เราทำไปเมื่อชาติที่แล้วพังจะทำยังไงคะ? แล้วยิ่งไปกว่านั้น ถ้า QC/QA หรือใครก็แล้วแต่ไม่มา Test งานเก่า เอาแต่ Test งานใหม่ แล้วลูกค้าผู้น่ารักมาเจอเข้าเองจะทำอย่างไรคร๊ะ แน่นอนความฉิบหายบังเกิดค่ะ (ว่าไปนั่น) นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยลดระยะเวลา/cost ในการ Test ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วยค่ะ

แล้วทำไมถึงไม่ให้คนที่มีหน้าที่ Test ทำเองล่ะ ทำไมต้องเป็นไอ้คนที่เขียนโปรแกรมมันเขียนด้วย?

การเขียน Test Case ถือได้ว่าเป็น White Box Testing อย่างนึงคือคนเขียนเนี่ยมันจะต้องรู้ Flow ข้างในแล้วว่าทำยังไงมันถึงจะเกิด Error หรือทำยังไงโปรแกรมมันถึงจะรันผ่าน แล้วก็ถือได้ว่าเป็นการ Verify “เบื้องต้น”ว่า โค๊ดเรารันไม่ผิดพลาด ส่วนคนที่มีหน้าที่ Test เค้าก็จะ Test ในส่วนของ Black Box Testing คือแกกดหรือแกทำไงก็ได้ให้โค๊ดมันทำงานไม่ตรง Spec อ่ะ (ควานหาบัค)

Tools ที่ใช้ในการเขียน Test Case มีอะไรบ้าง?

โอ๊ยย หลายอย่างเลยค่ะคุณ ขึ้นอยู่กับว่าคุณใช้ภาษาอะไรในการเขียน แล้วที่เขียนเนี่ยจะ Test อะไร อย่าง Java ก็จะมี JUnit , Perl ก็มี Module Test การ Test หน้าเว็บส่วนมากก็ใช้ Selenium ขนาดตัว Ruby on Rails ยังมี Folder Test เพื่อไว้ใช้สำหรับเขียน Test case ของ Web application เลยค่า (รู้แค่นี้)

Step การเขียนมีอะไรบ้าง?

อย่างอื่นก็ต้อง List Cases ทั้งหมดออกมาก่อนว่าจะเขียนกรณีไหนบ้าง จากนั้นดูว่าขั้นตอนการ Test ทั้งหมด มี Step ไหนที่เป็นเหมือนๆกันก็ให้เอาไปใส่ใน Test Setup จากนั้นลงมือเขียนแต่ละ Case ส่วนไหนที่ต้องทำการคืนค่าทั้งหมดในระหว่างที่ Test ก็ให้เอาไปใส่ใน Test Tear down ค่ะ ยกตัวอย่างการ Test Log in แบบเมื่อกี๊ละกันเราให้ Step คร่าวๆในการ Test คือ

  1. เปิดหน้าเว็บ
  2. ไปที่หน้า Log in
  3. ป้อนข้อมูล
  4. กด Submit
  5. ตรวจค่าที่ได้ว่าควรจะเป็นอะไร
  6. clear cache และ ปิด Browser

จาก Step คร่าวๆนี้เราควรที่จะเอา 1 & 2 ไปไว้ที่ Test Setup เพราะทุกๆ case ของการ login ต้องทำแบบนี้ และ เอา 3&4&5 ไปเขียนแยกในแต่ละ Test case เพราะแต่ละ case มี Step การ Test ย่อยที่ไม่เหมือนกัน การตรวจค่าก็ไม่เหมือนกัน จากนั้นก็เอา 6 มาเขียนไว้ที่ Test Tear down เพราะทุก case ต้อง clear cache และ ปิด Browser ค่ะ

ข้อเสียของการทำ Test Case คืออะไร?

ใช้ Cost มากกว่าการเขียนแค่ code เพียวๆค่า ไอริว่ากรณีแบบนี้มันเหมาะกับ Long Term maintenance มากกว่านะ ถ้าเขียนแล้วใช้งานในระยะเวลาสั้นๆก็ไม่ต้องเขียนก็ได้(มั้ง?)

มีอะไรเพิ่มเติมที่อยากบอกมั๊ย?

โดยอุดมคติแล้ว เราควรที่จะเขียน Test Case ก่อนการเขียน Source code ที่ใช้งานจริงๆเพราะจะทำให้เราเห็นภาพรวมในการ Test มากขึ้น แล้ว Test case ที่เราเขียนก็จะไม่ไปในทาง bias คือเขียนเข้าข้างตัวเองว่ามันรันผ่านค่ะ ลองนึกภาพว่าถ้าคุณเขียน Test case ก่อน คุณก็จะนึก Case ขึ้นมาแล้วลงมือเขียนว่าแต่ละ Case ควรจะเป็นไปในทิศทางไหน ทำให้การ Test มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ถ้าคุณเขียนโค๊ดก่อนแล้วค่อยมาเขียน Test Case ก็กลายเป็นว่าคุณเขียนเพื่อให้มัน prove ว่าโค๊ดของฉันรันผ่านไปงั้นๆ ( มั้งนะ ในความรู้สึก =__=a? )

เพราะฉะนั้นมาทำให้โค๊ดที่เราเขียนมีคุณภาพมากขึ้นกันเถอะค่า \O wO/

~จบแล้น~

My Subscribe Beauty Blogger and Guru

สวัสดีค่า วันนี้เราก็จะมาว่ากันด้วยเรื่องความสวยความงามกันค่ะ ( ^^)

ว่ากันด้วย Beauty Blogger กับ Beauty Guru เวลาเราดูจากทาง Youtube หรืออะไรก็แล้วแต่ เราก็มักจะศึกษาเคล็ดลับความสวยความงาม รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ที่พวกนางเหล่านั้นใช้กัน

คือไม่ใช่อะไร เวลาเราดูก็จะเกิดความรู้สึกแบบนี้

ฉันเห็นฉันก็อยากได้บ้างงี๊

นางไปทำอะไรม๊า (เสียงสูง) ฉันก็อยากสวยแบบนี้บ้าง

ของที่เราใช้อยู่มันยังดูไม่ค่อยคลิ๊กกับเรานะ มีอะไรดี มีอะไรมาอัพเดทมั่ง

และอื่นๆอีกมากมาย ตลอดจนบางทีนางๆเหล่านั้นก็คอยอัพเดท Lifestyle อันแสน Happy ดี๊ด๊าของนาง
ส่งสายตาอิจฉาผ่านจอ
( = =)+

ไอริก็ดูไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ และ เรื่อยๆ จนกระทั่งก็หันมาดูแลตัวเองตาม ทำให้ตัวเองดูดีขึ้นเรื่อยๆ (รึเปล่า!?)

ก็นั่นแหละค่า วันนี้จะมาพูดถึงนางๆเหล่านั้นที่ไอริสับตะไคร้ แล้วก็ส่งสายตาผ่านจอกันค่ะ > .<

โมเมพาเพลิน มนุษย์ผู้นี้คงไม่ต้องเอ่ยถึงแต่ประการใดว่านางเป็นใคร ออกจะมีชื่อซะขนาดนี้ สิ่งที่ไอริกับคุณโมเมเป็นเหมือนกันก็คือ เราเป็นมนุษย์หน้ามันค่ะ โดยเฉพาะไอริเป็นมนุษย์ที่หน้ามันมว๊ากกกก * 10 ฉะนั้นเวลาที่เค้าออกคลิป หรือ รีวิวผลิตภัณฑ์อะไรมา เราเองก็จะมโนไปว่า เออ มันก็น่าจะเหมาะกับเราเหมือนกันนะยูวว์ แต่โดยความเห็นส่วนตัวเราว่าสไตล์การแต่งหน้าที่โพสในคลิปจะเป็นแนวหรูๆ ปาร์ตี้ แล้วก็เป็น Everyday look หรือลุคทั่วๆไปไม่ค่อยมีอะไรหวือหวาค่ะ ชอบดูเค้ารีวิวผลิตภัณฑ์มากกว่า > .<“

Pixiwoo คนนี้เป็นกูรูจากอังกฤษค่ะ มีสองคน ชื่อ Sam กับ Nic แต่งได้หลายแนว แล้วก็เก่งมากๆ ตั้งแต่ ลุคธรรมดาๆ ไปจนถึงแต่งหน้าแนวแฟนซี เช่น แม่มด หรือ แฟรงค์เกนสไตล์ แล้วนางก็ยังเป็นเจ้าของแบรนด์แปรงแต่งหน้าที่ไอริเลิฟมากๆ นั่นก็คือ Real Technique แปรงแบบนุ่มมากๆ ไม่มีขนหลุดเลย ชอบดูเหล่านางๆแต่งหน้าค่า

Michelle Phan นางคนนี้ชอบเพราะเค้ามีรีวิวการรักษาหน้าโดยใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติค่ะ อาทิเช่น น้ำผึ้ง ข้าวโอ๊ต ว่านหางจรเข้ คือเป็นผลิตภัณฑ์ DIY ต่างๆ รูปแบบการนำเสนอที่ทำออกมาก็น่าติดตาม ที่สำคัญ Beauty Tips เยอะมากค่ะ ( ^^)

Bubzbeauty คนนี้ก็ติดตามตั้งแต่ไอริเริ่มดูอะไรที่เกี่ยวกับความสวยความงาม ผิวนางคือสวยละก็ดูอิ่มน้ำมาก ไอริก็เลยดูเคล็ดลับที่นางดูแลผิวค่ะ จนตอนนี้นางก็มีลูกละ > .<“

Fleur De Force สับตะไคร้คนนี้ติดตามเรื่องทั่วๆไปเกี่ยวกับ Beauty รวมถึง Fashion haul ค่ะ ชอบดูเค้ารีวิวผลิตภัณฑ์

Pearypie คนนี้ก็ไม่ต้องพูดถึงแต่อย่างใด เป็นกูรูที่มีความสามารถ Adaptation เป็นอย่างสูง ทั้งการผสมสีลิปสติก ทั้ง Trick การแต่งหน้า แต่ติดอย่างเดียวตรงที่นานน๊านจะอัพเดทที ( = =)”

ทั้งหมดนี้ไม่ได้รับค่าโฆษณามาจากใครทั้งนั้นนะยูวว์

Flower Flower – Aki [แปลเพลง]

สวัสดีค่า กลับมาพบกับรายการ มือใหม่หัดแปลอีกครั้ง ( ‘ w’)/ (ตั้งรายการตั้งแต่เมื่อไหร่ยังไม่รู้เลย)

วันนี้ก็จะมาแปลเพลงของเจ๊ YUI อีกเช่นเคย แต่ที่เขียนว่าเป็นของ Flower Flower ก็เพราะว่าเจ๊เค้าไปเล่นในนามของวงละแหละ แล้วเพลงนี้ก็เป็น Ost. Little Forest ด้วยน๊า มี 4 ภาคตามฤดูเลย

เอาล่ะดูผลงานการแปล(มือใหม่)ของไอริกันโลด

 

暗い森 雫の音
Kurai mori shizuku no oto
ป่าที่มืดมิด เสียงที่เงียบสงัดลง

澄ませば聞こえて来る
Sumaseba kikoete kuru
ถ้าหายไป จะได้ยินมั๊ย

優しい風 吹き付けるのは
Yasashii kaze fukitsukeru no wa
สายลมอันแผ่วเบาพัดมานั้น

傷を癒やす
Kizu wo iyasu

ช่วยรักษาแผลให้ฉัน

あの時は分からない事ばかりあるけど
Ano toki wa wakaranai koto bakkari aru kedo
ถึงแม้ในตอนนั้นมีสิ่งที่ยังไม่รู้เลย

今なら分かるよ 伝えたい
Ima nara wakaruyo tsutaetai

แต่ตอนนี้รู้แล้วล่ะ และอยากจะบอกว่า


そっと明日を そっと照らして
Sotto ashita wo sotto terashite
พรุ่งนี้ที่งดงาม ส่องประกายอย่างช้าๆ

繋ぎとめたい事ばかり
Tsunagi tometai koto bakari

อยากรั้งเธอเอาไว้เท่านั้น


ずっと忘れない 残してくれたもの
Zutto wasurenai nokoshite kureta mono
จะไม่ลืมของที่เคยมอบให้ตลอดไป


こんなに暖かいよ
Konnani atatakai yo
อบอุ่นจัง


心にしみてく
Kokoro ni shimite ku
มันซึมลงในใจ


記憶の中 繰り返してる

Kioku no naka kurikaeshiteru
ยังวนเวียนอยู่ในความทรงจำ


壊れたテレビみたい
Kowareta terebi mitai
ราวกับทีวีที่แตกไปแล้ว


傷付いたら直せないもの
Kizutuitara naosenai mono
เธอเคยพูดว่า หากเจ็บ มีสิ่งที่ไม่สามารถรักษาได้

あるって 知った
Arutte Shitta
ฉันรู้อยู่

取り戻せたのなら どうしよう
Torimodose kanou nara doushiyou

แต่หากเอากลับคืนมาได้ ฉันจะทำยังไงดี


深い溝 埋めたい
Fukai mizo umetai
ฉันอยากเติมเต็มความสัมพันธ์ของเรา

あなたはどこにいるの?
Anata wa doko ni iruno
เธออยู่ที่ไหน

ずっと待ってた ずっと信じて
Zutto matteta zutto shinshite
รอตลอดมา เชื่อใจตลอดไป


あの日に戻れたのなら

Ano hi ni modoreta no nara
ถ้าไม่กลับไปในวันนั้นล่ะ


ずっと待てない 残像を薄めてく
Zutto matenai zannzou wo usumeteku
ไม่รออีกแล้ว ภาพที่ติดตาค่อยๆจางหาย


気付けない事ばかりが
Kitsukenai koto bakari ga
ฉันดูแลไม่ได้แล้วล่ะ


私を責めるの
Watashi wo semeru no
ว่าฉัน
สิ

やさしい歌を口ずさめば
Yasashii uta wo kuchizusameba

ถ้าฉันฮัมเพลงเบาๆ


ほら 見えてくるよ
Hora mietekuruyo
เอาล่ะ ปรากฎออกมาสิ


見えてくるよ
Mietekuruyo
ออกมาสิ


そっと明日を そっと照らして
Sotto ashita wo sotto terashite
พรุ่งนี้ที่งดงาม ส่องประกายอย่างช้าๆ

繋ぎとめたい事ばかり
Tsunagi tometai koto bakari

เพียงแค่อยากรั้งเธอเอาไว้


ずっと忘れない 残してくれたもの
Zutto wasurenai nokoshite kureta mono
ไม่ลืมของที่เคยมอบให้ตลอดไป


こんなに暖かいよ
Konnani atatakai yo
อบอุ่นจัง


心にしみてく
Kokoro ni shimite ku
มันซึมลงในใจ

โหมดสารภาพบาป T wT

  1. ด้วยความอ่อนด๋อย เราแปลเองเกือบหมดน๊า แต่ว่าแอบดูคำที่เราแปลไม่รู้เรื่องมานิสนุงจากเว็บนี้  http://www.golyrics.web.id/2014/08/flower-flower-yui-aki.html
  2. แปลในเวลางานค่า ว่างค่า (บอกแบบนี้เดี๋ยวโดนเจ้านาย assign งานมารัวๆ)
  3. บางคำ บางประโยค ไม่รู้จะแปลว่าอะไร มั่วได้อีกค่า แบบคิดว่าคำนี้น่าจะใช่นะ อะไรแบบนั้น

My daily life with classic train at Bangkok

 

 

สวัสดีค่าพบกับไอริอีกครั้งนึง

รอบนี้มาอัพเดทบล็อกในมือถือ เพราะอยากเขียนพอดี (เกี่ยวมั๊ย?)

วันนี้เราจะมาทำความรู้จักรถไฟฟรีในบางกอกที่วิ่งเส้นวงเวียนใหญ่ – มหาชัย กันนะค๊า

แท่น แทน แท๊น และนี่คือหน้าตาของสถานี

สถานีรถไฟ

14170031854891278432603

จากหัวข้อทำไมถึงเป็น Daily Life กันนะ?

ก็เพราะว่าไอริใช้รถไฟฟรีเป็นหนึ่งในพาหนะไปทำงาน และกลับบ้านนั่นเองค่า

14170038588221727535774

ถึงจะเป็นของฟรีเค้าก็แจกตั๋วด้วยนะเออ

Q: ถามถึงประสบการณ์การนั่งรถไฟฟรีครั้งแรกเป็นไง?

A: ตื่นเต้นดี เวลารถวิ่ง ถึงสถานีไหนแล้วก็ไม่รู้ ฮ่าๆๆๆ

Q: ทำไมอ่ะ

A: ทุกขบวนมีป้าย LED บอกนะ น้อยขบวนที่ป้ายจะใช้ได้ นอกนั้นแล้วแต่ความคุ้นชินทิศทางของเรา กับนายขบวนที่แล้วแต่เค้าว่าเค้าจะบอกสถานีที่จอดให้รึเปล่าว่าเป็นสถานีอะไร

Q: ความรู้สึกในการนั้งรถไฟครั้งแรก?

A: กรุงเทพมีวิวแบบนี้ด้วยเหรออเนี่ยย!!~ มีแต่ป่า ดง พง หญ้า สวน

Q: เส้นทางที่รถวิ่งผ่านไปทางไหนมั่ง

A: ก็ตั้งแต่วงเวียนใหญ่ตรงถนนสมเด็จพระเจ้าตากสิน วิ่งไปตลาดพลู จอมทอง วัดไทร วัดสิงห์ บางบอน การเคหะ เรื่อยไปถึงมหาชัยอ่าจ้า

Q: ความประทับใจในการนั่งรถไฟ?

A: รถไม่ติดค่ะ ชิวๆ ฮ่าๆๆๆ

Q: อยู่ไกลจาก BTS วงเวียนใหญ่ป่ะ

A: พอประมาณนะ เดินไปก็ใช้เวลา 10-15 นาที

Q: มีไรฝากถึงคนที่คิดจะนั่งมั๊ย

A: ตอนเช้าในชั่วโมงเร่งด่วนคนอย่างเยอะ

จะลงรถแล้ว ลาแล้วจ้า~

Page 1 of 3

Powered by WordPress & Theme by Anders Norén