愛梨ちゃんのブロク

เรื่องบ่นๆ บ้าๆ บอๆ ของไอริ

愛梨ちゃんのブロク

Category: Knowledge

การเรียน สำคัญจริงๆรึเปล่านะ…?

เห็นไอริจั่วหัวมาซะขนาดนี้ไม่ได้แปลในทำนองว่า “อย่าเรียนเลย ไปทำอย่างอื่นดีกว่า” นะ ฮ่าๆ

เหตุที่เขียน Title แบบนี้เราจะมา Discuss ในเรื่องนี้ค่ะ

ต้องบอกก่อนว่าเหตุผลที่เขียนเรื่องนี้เพราะไอริเห็นตาม Internet ด้วยประโยคที่ว่า…

Bill Gates ไม่เรียนหนังสือ…เป็นเจ้าของ Microsoft

Steve Jobs ลาออกจากโรงเรียน…เป็นเจ้าของ Apple

ตัวเอง เรียนหนังสือ…เป็นลูกจ้างธรรมดาๆ

หรือว่า Comment แบบนี้…

ไม่เห็นต้องเรียนเก่งเลย เรียนไปก็เอาไปทำอะไรไม่ได้ คนที่ไม่เรียนแต่ประสบความสำเร็จมีเยอะแยะ

หรือว่าความคิดแบบนี้…

ไม่อยากเรียนหนังสือแล้ว เรียนไปทำไม ออกมาทำธุรกิจดีกว่า

ตรรกะแบบนี้…ถูกต้องแล้ว..จริงเหรอ?…

คำตอบในความคิดของไอริคือ…ไม่รู้ค่ะ

แต่ไอริเชื่ออย่างนึงว่าคนที่เค้าทำแบบนี้ อย่างน้อยเค้าต้องมี “เป้าหมาย” และ “แผนการ”

ไม่ใช่สักแต่พูด เอาแต่บ่น แล้วก็ออกจากการเรียน โดยที่ไม่มีแผน ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีอะไรเลย

พอออกมาทำมันก็ทำได้แค่ครึ่งๆกลางๆ ทำลอยๆ กะรวย เผื่อฟลุ๊ก สุดท้ายก็เจ๊ง

แล้วคนที่เดือดร้อนไม่ได้มีแค่คุณ แต่มีคนที่เค้ารักเค้าเป็นห่วงคุณ เค้าจะพลอยเป็นเดือดเป็นร้อนไปด้วย

สุดท้าย..บางคนก็ต้องระเห็จไปหางานทำ ทั้งๆที่ยังเรียนไม่จบ

งานที่ทำส่วนใหญ่เค้ารับวุฒิการศึกษาขั้นต่ำปริญญาตรี ในเมื่อเรียนไม่จบแล้ว จะเอาวุฒิอะไรไปสมัครงาน?

แต่ก็อาจจะยกเว้นสำหรับคนที่มีความสามารถจริงๆ ใช้ความสามารถของตัวเองพิสูจน์

ฉะนั้นสำหรับไอริ การเรียน เปรียบเสมือนฟูกเอาไว้รองรับในกรณีที่เราหล่นลงมาค่ะ

ถึงแม้คุณจะปีนขึ้นที่สูงไม่สำเร็จ แต่อย่างน้อยตอนคุณตกลงมาจะได้ไม่ต้องเจ็บตัวมาก

ไอริเคยได้ยินคำพูดที่ว่า…

ในการทำธุรกิจ 3 ใน 10 คนเท่านั้นที่จะประสบความสำเร็จ

ณ ตอนที่เราทำ เราไม่รู้หรอก ว่าเราอยู่ในกลุ่ม 3 คน หรือ เราอยู่ในกลุ่ม 7 คนกันแน่

ถ้าเป็นกลุ่ม 3 คนก็คงจะเป็นคนเก่งจริงๆ แต่ถ้าเป็นกลุ่มใน 7 คนนั้นล่ะ เราจะมีวิธีรับมือยังไง…?

ฉะนั้นไอริแนะนำว่า ถ้าตัวเรายังไม่มีแผนและเป้าหมายที่ชัดเจนก็ เรียนไปเถอะ

การเรียนไม่เคยทำให้ใครเสียหาย แต่ทั้งนี้การเรียนที่ดีจะต้องเรียน “เพื่อความรู้” ไม่ใช่เรียน “เพื่อใบปริญญา”

เพราะใบปริญญาที่ปราศจากความรู้ มันก็เป็นเหมือนเศษกระดาษดีๆนี่เอง

แต่สำหรับคนที่ไม่มีความรู้ ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีแผนการอะไรเลย แล้วจู่ๆก็มาบอกว่า อย่าไปเรียนเลย เรียนไปแล้วได้อะไร เรียนไปทำไม ออกไปทำอย่างอื่นดีกว่า จะได้ประสบความสำเร็จ ดีกว่าเยอะ

แค่คิดแบบนี้ก็เป็นคนขี้แพ้แล้วค่ะ

แต่ถ้าคิดแล้วเริ่มตั้งเป้าหมาย เริ่มวางแผน แล้วเริ่มลงมือทำแบบนี้คุณอาจจะไม่เป็นคนขี้แพ้แล้วก็ได้นะ อย่าดูถูกตัวเองนะคะ 😛

มาหาส่วนลดในการซื้อสินค้าด้วยการขายกระดาษกันเถอะ

…อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา…

สวัสดีค่า คราวนี้เราจะมาแชร์ถึงวิธีการหาตังค์กันค่ะ
หาตังค์…ด้วยการขายกระดาษ…
ไม่ผิดหรอกค่ะ เราจะเอากระดาษไปชั่งกิโลขาย ฮ่าๆๆๆ

ขายหนังสือพิมพ์

เพราะสำหรับไอริแล้ว การทำแบบนี้เปรียบเหมือนกับ การสะสมแต้มซื้อของ
ลองนึกถึงเวลาที่เราไปซื้อของเราก็มีบัตรเอาไว้สะสมแต้มใช่มั๊ยคะ
พอถึงเวลานึง เมื่อแต้มมันมากพอ ก็จะมีประโยชน์ไว้เป็นส่วนลดในการซื้อสินค้าได้
การชั่งกระดาษขายหนังสือพิมพ์เหมือนกันค่ะ
แค่กระดาษไม่กี่แผ่นหรือหนังสิมพิมพ์แค่ไม่กี่เล่ม ถ้าเกิดเราสะสมมันมากพอ

…เราก็สามารถเอามันไปแลกเป็นเงินได้…

ดีกว่าปล่อยให้มันไร้ค่า ปล่อยทิ้งไว้แบบนั้นเมื่อมันไม่มีประโยชน์
ได้มานิดหน่อย พอเป็นค่ากับข้าว หรือส่วนลดในการซื้อของที่เราอยากได้
และทางที่ดี ต้องหากระดาษที่มีต้นทุนที่ต่ำที่สุดค่ะ
อาจจะได้มาจากโบร์ชัวร์ หรือ หนังสือพิมพ์แจกฟรี
แต่หนังสือพิมพ์จะมีราคามากกว่ากระดาษธรรมดานะ
เก็บไปเรื่อยๆ ไม่ต้องเร่งร้อน ช่วยคนแจกเค้า พยายามอย่าปฏิเสธ หยิบมันมา เอามาสะสม
สะสมยิ่งมากก็ยิ่งได้เงินมากค่ะ ^^

ไบเสร็จจากการขายหนังสือพิมพ์

คิดแบบนี้แล้วมันก็ไม่ต่างอะไรกับการสะสมแต้มตามบัตรต่างๆเลยใช่มั๊ยคะ
ล่าสุดแม่ไอริขายได้ประมาณ 4-5 ถุง รวม 66 บาท
ก็พอเป็นค่าน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ของครอบครัวในวันนั้นได้
คิดว่าเหมือนกับแต้มที่เอาไปแลกส่วนลดค่ะ
อย่างน้อยก็ดีกว่าเราต้องจ่ายเงินเต็มจำนวนไปนะ

Automated testing 101

สวัสดีค่า วันนี้จะว่าด้วยเรื่องของ automated testing นะค๊า

เมื่อวันอังคารไอริได้มีโอกาสไปสัมมนาที่ Software park ในหัวข้อ Automated testing มามะมา “โชว์ของ” กัน (เห็นแบบนี้ไอริไม่มีของอะไรไปโชว์หรอกนะ ฮ่าๆๆ)

เรื่องนี้ก็จะว่าด้วยการ Test ระบบ โดยที่ใช้ระบบเข้ามา Test (เอ๊ะ!?)

ก่อนอื่นเข้าไป ที่นี่ เพื่อความเข้าในในการ Test มาขึ้นนะค๊า (มั้ง!?)

Automated testing seminar

โดยรวมแล้ว Automated Test มีไว้เพื่อช่วยมนุษย์ในการทำงานหรือ Test product ในขั้นตอนเดิมๆ ซ้ำๆ เป็นการลดเวลา Test และเพิ่ม Productivity ในการทำงาน ดังนั้น อะไรที่มันต้องทำงานแบบเดิมๆ ซ้ำๆ ก็ automate มันซะ (ประโยคนี้ก๊อบคุณพี่วิทยากรมา)

แต่!! ไม่ได้หมายความว่ามี automated test แล้วจะไม่มี manual test นะ อย่างที่บอก อะไรที่มันต้องทำเรื่อยๆ ซ้ำๆ ก็ automate ดีกว่า อะไรที่มันไม่ค่อยได้ทำก็ manual เอาดีกว่า เพราะ cost ที่เสียไปกับ automated testing มันเยอะเมื่อเทียบกับ manual test แต่ cost ที่ทำ automated testing มันจะค่อยๆลดลงในระยะยาว เพราะมันทำครั้งเดียวไง แต่ manual test cost มันจะเท่าเดิมไปเรื่อยๆ ไม่มีลด

สำหรับใครที่อยากรู้เพิ่มเติมดูรายละเอียดและslideได้ที่ http://www.somkiat.cc/sharing-automated-testing/

การสัมมนาแต่ละทีไอริว่ามันได้เปิดโลกไอริมากๆเลยนะ ได้รู้อะไรที่ไม่รู้ตั้งเยอะแยะ ^^

ว่าด้วยเรื่อง Test Case

วันนี้มาพบกับไอริในโหมด Geek (ใส่แว่นแปป)

อะแฮ่ม!!

เชื่อว่าคนที่เป็น Programmer/ Software Engineer/ Developer หลายคนเขียนโค๊ดที่เป็นในส่วนของงานเสร็จแล้ว ก็ส่งงานให้ลูกค้าTest รันผ่าน ไร้บัค ลูกค้าบอก Go-Live ก็จบใช่มั๊ยคะ!!

ตอบบบบบ!!

นั่นการเขียนโค๊ดที่ไร้ซึ่ง Quality นะคร๊ะะะะ (ว่าไปนั่น)

ดังนั้นเราจะมา Control Quality ด้วยการเขียน Test Case กันค่าา O wO/

แล้วการเขียน Test Case คืออะไรล่ะ?

Test Case ก็คือการเขียน Code เพื่อพิสูจน์ว่า Code ที่เราจะส่งงานไปเนี่ย มันทำงานได้จริงๆนะตะเอง ไม่ได้โกหกไก่กาอาราเล่

แล้วไอ้ Test Case มันคืออะไรล่ะ?

มันก็คือสถานการณ์ และความเป็นไปได้ทั้งหมดที่ๆโค๊ดเราควรจะเป็น ยกตัวอย่างเช่น การ Log in เข้าหน้าเว็บ Test case ทั้งหมดควรจะมีก็คือ

  • User สามารถ Log in ได้โดยการใส่ Username และ Password ที่ถูกต้อง
  • User ไม่สามารถ Log in ได้ ถ้า Username หรือ Password ไม่ตรงกับค่าที่เก็บไว้
  • User ไม่สามารถ Log in ได้ ถ้าไม่ได้ใส่ค่า Username หรือ Password
  • ถ้า User ไม่ได้ใส่ Username หรือ Password ต้องมีข้อความแจ้งเตือนว่าไม่ได้ใส่
  • ฯลฯ

แค่เขียนโค๊ดส่งงานให้ลูกค้าก็จะตายละ ทำไมต้องมาเขียน หรือทำอะไรแบบนี้ด้วยเนี่ย?

อย่างที่บอกในตอนแรกคือเพื่อการ Control Quality โค๊ดค่ะคุณ ลองนึกสิว่าเราส่งงานไปทั้งๆที่ไม่มี Test Case เนี่ย แล้ววันดีคืนดีคนอื่นกลับมาแก้งานของเรา แล้วโค๊ดที่เค้าแก้มันดั๊น ทำให้งานที่เราทำไปเมื่อชาติที่แล้วพังจะทำยังไงคะ? แล้วยิ่งไปกว่านั้น ถ้า QC/QA หรือใครก็แล้วแต่ไม่มา Test งานเก่า เอาแต่ Test งานใหม่ แล้วลูกค้าผู้น่ารักมาเจอเข้าเองจะทำอย่างไรคร๊ะ แน่นอนความฉิบหายบังเกิดค่ะ (ว่าไปนั่น) นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยลดระยะเวลา/cost ในการ Test ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วยค่ะ

แล้วทำไมถึงไม่ให้คนที่มีหน้าที่ Test ทำเองล่ะ ทำไมต้องเป็นไอ้คนที่เขียนโปรแกรมมันเขียนด้วย?

การเขียน Test Case ถือได้ว่าเป็น White Box Testing อย่างนึงคือคนเขียนเนี่ยมันจะต้องรู้ Flow ข้างในแล้วว่าทำยังไงมันถึงจะเกิด Error หรือทำยังไงโปรแกรมมันถึงจะรันผ่าน แล้วก็ถือได้ว่าเป็นการ Verify “เบื้องต้น”ว่า โค๊ดเรารันไม่ผิดพลาด ส่วนคนที่มีหน้าที่ Test เค้าก็จะ Test ในส่วนของ Black Box Testing คือแกกดหรือแกทำไงก็ได้ให้โค๊ดมันทำงานไม่ตรง Spec อ่ะ (ควานหาบัค)

Tools ที่ใช้ในการเขียน Test Case มีอะไรบ้าง?

โอ๊ยย หลายอย่างเลยค่ะคุณ ขึ้นอยู่กับว่าคุณใช้ภาษาอะไรในการเขียน แล้วที่เขียนเนี่ยจะ Test อะไร อย่าง Java ก็จะมี JUnit , Perl ก็มี Module Test การ Test หน้าเว็บส่วนมากก็ใช้ Selenium ขนาดตัว Ruby on Rails ยังมี Folder Test เพื่อไว้ใช้สำหรับเขียน Test case ของ Web application เลยค่า (รู้แค่นี้)

Step การเขียนมีอะไรบ้าง?

อย่างอื่นก็ต้อง List Cases ทั้งหมดออกมาก่อนว่าจะเขียนกรณีไหนบ้าง จากนั้นดูว่าขั้นตอนการ Test ทั้งหมด มี Step ไหนที่เป็นเหมือนๆกันก็ให้เอาไปใส่ใน Test Setup จากนั้นลงมือเขียนแต่ละ Case ส่วนไหนที่ต้องทำการคืนค่าทั้งหมดในระหว่างที่ Test ก็ให้เอาไปใส่ใน Test Tear down ค่ะ ยกตัวอย่างการ Test Log in แบบเมื่อกี๊ละกันเราให้ Step คร่าวๆในการ Test คือ

  1. เปิดหน้าเว็บ
  2. ไปที่หน้า Log in
  3. ป้อนข้อมูล
  4. กด Submit
  5. ตรวจค่าที่ได้ว่าควรจะเป็นอะไร
  6. clear cache และ ปิด Browser

จาก Step คร่าวๆนี้เราควรที่จะเอา 1 & 2 ไปไว้ที่ Test Setup เพราะทุกๆ case ของการ login ต้องทำแบบนี้ และ เอา 3&4&5 ไปเขียนแยกในแต่ละ Test case เพราะแต่ละ case มี Step การ Test ย่อยที่ไม่เหมือนกัน การตรวจค่าก็ไม่เหมือนกัน จากนั้นก็เอา 6 มาเขียนไว้ที่ Test Tear down เพราะทุก case ต้อง clear cache และ ปิด Browser ค่ะ

ข้อเสียของการทำ Test Case คืออะไร?

ใช้ Cost มากกว่าการเขียนแค่ code เพียวๆค่า ไอริว่ากรณีแบบนี้มันเหมาะกับ Long Term maintenance มากกว่านะ ถ้าเขียนแล้วใช้งานในระยะเวลาสั้นๆก็ไม่ต้องเขียนก็ได้(มั้ง?)

มีอะไรเพิ่มเติมที่อยากบอกมั๊ย?

โดยอุดมคติแล้ว เราควรที่จะเขียน Test Case ก่อนการเขียน Source code ที่ใช้งานจริงๆเพราะจะทำให้เราเห็นภาพรวมในการ Test มากขึ้น แล้ว Test case ที่เราเขียนก็จะไม่ไปในทาง bias คือเขียนเข้าข้างตัวเองว่ามันรันผ่านค่ะ ลองนึกภาพว่าถ้าคุณเขียน Test case ก่อน คุณก็จะนึก Case ขึ้นมาแล้วลงมือเขียนว่าแต่ละ Case ควรจะเป็นไปในทิศทางไหน ทำให้การ Test มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ถ้าคุณเขียนโค๊ดก่อนแล้วค่อยมาเขียน Test Case ก็กลายเป็นว่าคุณเขียนเพื่อให้มัน prove ว่าโค๊ดของฉันรันผ่านไปงั้นๆ ( มั้งนะ ในความรู้สึก =__=a? )

เพราะฉะนั้นมาทำให้โค๊ดที่เราเขียนมีคุณภาพมากขึ้นกันเถอะค่า \O wO/

~จบแล้น~

แชร์ประสบการณ์เด็กจบใหม่มีเงินกว่าครึ่งแสน

สวัสดีค่า ก่อนอื่นเห็นจั่วหัวขนาดนี้อย่าคิดว่าโม้นะ ฮ่าๆๆ (แต่เอ็งก็โม้จริงๆอ่ะแหละ)

ก่อนหน้านี้เราเคยตั้งเป้าหมายไว้ว่า อยากจะมีเงินล้านก่อน 30 เนอะ

วันนี้ก็เลยจะมาพูดถึงวิธีของไอริที่คิดว่าเป็นวิธีที่จะไปสู่เป้าหมายนี้กันค่ะ ( ^^)

ไอริเริ่มมาคิดเรื่องเงินจริงๆจังๆตอนสมัยเรียน ปี 2 ที่เริ่มรับทำงานเป็นนักศึกษาทุนจ้างงานค่ะ

นอกจากทุนจ้างงานแล้ว ตอนที่เรียนก็ได้ทุนเรียนดีของมหาลัยช่วยพ่อแม่จ่ายค่าเทอม ค่าหอด้วย

สี่ปีที่เรียนมาก็เลยช่วย Save ค่าเทอมไปได้ประมาณเกือบครึ่ง

แต่ว่าแค่นี้ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองเก่งอะไรนะ เพราะเพื่อนไอริบางคน เป็นเจ้าของกิจการตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ บางคนก็ทำงานส่งตัวเองเรียนตลอด 4 ปีก็มี

ตอนแรกก็เหมือนเด็กๆทั่วไปที่พอทำงานได้เงินมาก็ดี๊ด๊า อยากทำโน่นทำนี่

ไอริก็จัดเลย ตอนนั้นอยากสวย เริ่มซื้อเครื่องสำอางค์ ตามพวก Beauty Blogger ต่างๆที่เค้าแนะนำว่าดี แนะนำว่าเด็ด

จนตอนนี้มีอยู่เต็มลิ้นชัก แต่เอามาใช้ในชีวิตประจำวันจริงๆ แค่ประมาณ 30% ของของที่มีอยู่ ( = = )”

แต่กิเลสมนุษย์มันไม่เคยพอค่ะ พออยากได้แล้วก็ต้องอยากได้อีกเป็นธรรมดา

ถ้าเราไม่คุมมัน เวลาที่เราจะใช้เงินจริงๆมันจะไม่มีนะ

ด้วยเหตุนี้ก็เลยตั้งเป้าหมายการเก็บเงินเอาไว้ ตอนแรกก็ศึกษาพวกบัญชีเงินฝาก อะไรที่ว่าดอกเบี้ยเยอะๆ เราก็ฝากค่ะ ฮ่าๆๆ

เก็บเงินได้จนกระทั่ง มีเงินซื้อแหวนทอง กับต่างหูทองให้แม่ ภายใน 2 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้ราคาอาจจะดูไม่ได้หรูหราอะไร แต่มันก็ทำให้คนที่เรารักดีใจ ( ^^)

จนความโลภมันก็เข้าครอบงำแบบพอดีๆ(?) เลยหันมาสนใจการวางแผนทางการเงิน อัตราแลกเปลี่ยน หุ้น กองทุน บลาๆๆ

จนตอนนี้ไอริทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน ก็ตั้งเป้าหมายไว้ทุกๆเดือนว่า ให้หัก 20% ของเงินเดือนเอาไปออม หรือลงทุนอะไรซักอย่างนึง

แล้วห้ามถอนออกมาอีก ไม่ว่าสถานการณ์จะบีบบังคับให้เราต้องใช้เงินมากแค่ไหน

เคล็ดลับของการออมเงินจริงๆแล้วมันไม่ได้อยู่ที่ไหนไกลเลย มันอยู่ที่ตัวเราเอง ในคำนี้

“วินัย”

จนตอนนี้ไอริมีเงินเก็บ และ สินทรัพย์รวมกว่าครึ่งแสนแล้วค่ะ \( ^^)/

Mutual Fund Series

สวัสดีค่ะทุกคน…. (ไม่มีใครหลงเข้ามาหรอกมั๊ง)

วันนี้ไอริมี Series ดีๆมาแนะนำสำหรับคนที่คิดจะเริ่มลงทุนกันค่ะ ^___^

ก่อนอื่นขอบคุณ a-academy ที่สร้างSeries กองทุนรวมนี้ขึ้นมาทำให้คนที่ไม่ได้เรียนทางด้าน Finance และ การลงทุนได้มีความรู้เพิ่มมากขึ้นโขเลยค่ะ

เอาล่ะ!! เกริ่นก่อนว่า Mutual Fund Series อันนี้เราไม่ได้รับสปอนเซอร์มาจากเค้านะตัว เค้าอยากรีวิวเองเพราะมันดีจริงๆ

ถ้าเข้าไปดูในคลิปพวกนี้เค้าก็จะมีข้องมูลเกี่ยวกับกองทุนรวมต่างๆตั้งแต่ขั้น Basic ไปจนถึง Advanced เลยทีเดียว

สอนให้เราวิเคราะห์กองทุนประเภทต่างๆเอง ตั้งแต่ ตลาดเงิน ตราสารหนี้ ไปจนถึง หุ้น อสังหาฯ น้ำมัน เลยแหละ

เหมาะมากๆ สำหรับคนที่ต้องการความรู้ทางด้านการลงทุน การวางแผนทางการเงิน

แต่ว่าพวกเรื่องที่ว่ากองทุนไหนดีหรือไม่ดียังไง อันนี่้ต้องไปอ่าน Fund Fact Sheet ที่มีอยู่ในเว็บบลจ.ต่างๆ วิเคราห์เอง แล้วก็เอามาประใช้กับแผนการลงทุนด้วยตัวเองนะค๊า

ใช้เวลาเรียนรู้วันละตอน ตอนละประมาณครึ่งชั่วโมงเอง เข้าไปดูฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

อย่าลืมดูกันนะค๊า http://www.a-academy.net/personal-finance/s08-mutual-fund/

ทิ้งท้ายคำคม: The successor has never stopped walking. คนที่ประสบความสำเร็จเป็นคนที่ไม่มีวันหยุดเดิน

Mirror

สวัสดีค่า กลับมาพบกันอีกครั้งที่บล็อกของไอริ ^___^
วันนี้เราจะมาทำความรู้จักตัวเองกันค่ะ
ทำไมต้องรู้จักล่ะ ก็ฉันเป็นของฉันแบบนี้ ฉันก็ต้องรู้จักตัวเองอยู่แล้วสิ

icebrege

ทุกคนรู้อะไรมั๊ยคะ
ศักยภาพในตัวเราก็เปรียบเสมือนก้อนภูเขาน้ำแข็งยักษ์ที่อยู่ใต้น้ำแหละค่ะ
แต่ว่าสิ่งที่เราแสดงให้คนอื่นดู เพียงแค่ก้อนภูเขาน้ำแข็งที่ลอยอยู่เหนือน้ำ
ทว่าวันนี้เราจะไม่มาพูดถึงการดึงศักยภาพของภูเขาน้ำแข็งก้อนล่าง
แต่เราจะพูดถึงก้อนข้างบนกันค่ะ ^___^

Look at yourself

“คนอื่นเขามองฉันเป็นคนแบบไหนกันนะ?”
“ทำไมไม่มีคนสนใจฉันเลย?”
เคยตั้งคำถามนี้แบบนี้กับตัวเองมั๊ยคะ
คำตอบนั้นไม่ยากเลยค่ะ
ให้คุณสังเกตคนรอบตัวคุณ ว่าเวลาเข้าหาคุณเขาแสดงนิสัยออกมาอย่างไร
ในยามปกติ ถ้าหากคนที่เข้าหาพูดจาเพราะๆใส่คุณเสมอๆ
แสดงว่าคุณอาจจะเป็น คนพูดเพราะอยู่แล้ว หรือไม่ก็ เป็นที่น่าเกรงขาม มีคนเคารพ ใช่มั๊ยคะ
แล้วถ้าหากคุณเป็นคนที่มีเพื่อนน้อย
ก็แสดงว่าคุณไม่ค่อยได้คุยกับเพื่อน เป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยได้สานสัมพันธ์หรือสุงสิงกับคนอื่น
คนที่เข้าหา ก็เหมือนกระจกสะท้อนตัวเราดีๆนี่เองแหละค่ะ
คราวนี้เราก็จะรู้แล้วว่า ตัวเราเองในมุมมองของคนอื่นเค้าเป็นอย่างไร
แล้วจุดนี้นี่เอง ก็เป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาปรับปรุงตัวเองค่ะ
เราต้องรู้ก่อนว่าในสายตาคนอื่น ตัวเองมีอะไรที่แสดงออกไปแล้ว
อะไร ที่เรามีอยู่แต่ยังไม่ได้แสดงออกมาให้คนอื่นเห็น
อะไร ที่เราควรจะมี แต่ไม่มี
อะไร ที่เราไม่มี และไม่ควรมี
ถ้าหากรู้สิ่งเหล่านี้ รู้จักตัวเองแล้ว การพัฒนาตัวเองก็จะเป็นสิ่งที่ไม่ยากค่ะ
เราจะรู้ทันทีว่าเราควรจะพัฒนาอะไร ปรับปรุงส่วนไหน

ลองสังเกตตัวเอง และคนที่เข้ามาหาคุณดูนะคะ ^___^

39

“ขอบคุณ”

วันนี้คุณได้บอกคำๆนี้จากใจแก่ใครรึยังคะ

คำสั้นๆ ง่ายๆ ที่แฝงไปด้วยหลายความหมาย

…ความเอื้ออาทร ความมีน้ำใจ ความใส่ใจ รอยยิ้ม มิตรภาพ ความอบอุ่น ความรัก ความมีเมตตา ความช่วยเหลือ…

เป็นคำมหัศจรรย์ที่พอพูดเสร็จ ต่างฝ่ายต่างก็รู้สึกดีต่อกัน ไม่ว่าสถานการณ์ไหน

เป็นคำที่ทำให้รู้สึกว่าคนพูดนั้น เป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลกเลยค่ะ

สิบปากว่าไม่เท่าตาเเห็น สิบตาเห็นไม่เท่าหนึ่งลงมือทำ ลองพิสูจน์มั๊ยล่ะคะ

ลองหลับตาลง ทำใจให้ว่างเปล่า ปล่อยใจไป แล้วลองนึกดูว่าตลอดเวลาที่เกิดมา มีอะไรผ่านเข้ามาในชีวิตบ้าง

ลองขอบคุณสิ่งเหล่านั้นดูสิคะ

ขอบคุณ พ่อแม่ที่ให้ชีวิตเรา เลี้ยงดูเรา เป็นครูคนแรกของเรา

ขอบคุณ เพื่อนๆ ที่ทำให้เราไม่เหงา ไม่ว่ายามใด

ขอบคุณ ผืนแผ่นดิน และโลกใบนี้ ที่ให้ที่อยู่อาศัย

ขอบคุณ อุปสรรคนานับประการที่ผ่านเข้ามาในชีวิต จนทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น

ขอบคุณ เวลาที่ไหลผ่าน ที่ทำให้รู้ว่าทุกวินาทีมีค่ามากแค่ไหน

ขอบคุณ เงินทองในกระเป๋าสตางค์ ที่ทำให้รู้ว่า อย่างน้อยเราก็โชคดีกว่าคนที่ไม่มี

ขอบคุณ นักเขียนหนังสือและบทความทุกคน ที่แบ่งปันความรู้ ข่าวสารและประสปการณ์

ขอบคุณ บทเพลง ที่ทำให้โลกนี้มีเสียงอันไพเราะ และไม่เงียบเหงา

ขอบคุณ เทคโนโลยีอันล้ำสมัย ที่ทำให้ชีวิตมนุษย์สุขสบาย

ขอบคุณ ตัวเอง ที่มีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้

…THANK YOU…

^_________^

จะได้เรียนภาษาญี่ปุ่นกับเค้าซักที

สวัสดีค่าา หลังจากหายหน้าไปนาน วันนี้ก็มีข่าวอัพเดทเกี่ยวกับชีวิตตัวเองซักกะที

…”จะได้เรียนญี่ปุ่นแล้วว!!”…

เย้ๆๆๆๆๆ \> w</

ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนว่าเป็นคนที่บ้าญี่ปุ่นมากๆ

ทั้งอาหารการกิน (แต่ไม่กินเนื้อวัว วาซาบิ และปลาประหลาดๆอย่างอื่น)

เมคอัพ (ชอบเครื่องสำอางค์ญี่ปุ่นมากก เพราะผลิตภัณฑ์เค้าเหมาะกับหนังหน้าเราจริงๆนะตัว > <)

อนิเม (อีนี่มันโอตาคุนี่หว่าาา มิตรสหายท่านหนึ่งกล่าว)

และอื่นๆอีกมากมายที่เกี่ยวกับญี่ปุ่น = w=/

จริงๆแล้วเป็นคนอ่านและศึกษาภาษาญี่ปุ่นด้วยตัวเองมาตั้งแต่ ม.2 นะ

คัดฮิรางานะ คาตาคานะ ท่องศัพท์ง่ายๆ บลาๆๆๆ

เรียนๆหยุดๆ หยุดๆเรียนๆ จำได้มั่ง ไม่ได้มั่ง มันก็เลยไม่ต่อเนื่อง

พอตอนม.ปลายก็ลืมไปซะเกือบหมด เพราะต้องอ่าน(อัด) ฟิสิกส์ เคมี ชีวะเข้าหัว T wT”

จะขึ้นปี 1 ก็เลยไปสมัครเรียน แต่เรียนได้ซักพักก็ต้องหยุด เดี๋ยวเจอกิจกรรมมหาลัยกลัวไม่มีเวลา

พอขึ้นปี 3 ก็ลงเรียนภาษาญี่ปุ่นไปปุ๊ป แต่มันเป็นระดับ Basic ที่เรารู้อยู่แล้ว เข้าไปก็…นะ (โดดๆเรียนๆก็ได้ A แหละว๊า หึหึ)

จากนั้น เราก็เลยคิดจะจริงจังกับมันซักที เพราะเราไม่กล้าปล่อยมันไป เรียนๆหยุดๆ แล้วก็ต้องไปเริ่มใหม่ T wT”O+

แต่ตอนนี้เราไปสมัครเรียนเค้าก็ให้สอบวัดระดับว่าจะได้อยู่กลุ่มไหน

ก่อนอื่นต้องบอกว่า ที่บอกว่าเคยเรียนก่อนหน้านี้นี่ อย่างมากก็เรียนถึงครึ่งเล่มแรกของ Minna no Nihongo นะ

นอกนั้นเราอ่านเองจำเองหมด (แต่ไม่ยักขยันคัดคันจิ ฉะนั้นถ้าคันจิส่วนมากเราจะรู้ว่าแปลว่าอะไร แต่ให้เขียนน่ะทำไม่ได้)

แต่ปรากฎว่าเราได้เรียนมินนะเล่มสามจ้าาา ยิปปี้ (ก็คือเราจำได้เล่มครึ่งโดยที่ไม่ต้องเรียนนั่นเอง) \> w</

เอาจริงๆเราอ่านหมดทั้งสี่เล่มแล้วแหละ แต่ดันจำได้แค่เล่มสอง TT wTT”

ตอนไปสมัครเสร็จพี่หมีกล่าวว่า ตอนนี้ก็เห่อ เดี๋ยวพอเรียนๆไปอย่ามาบ่นนะว่าขี้เกียจ

อะจ๊ากกกกก ก็จริงของเค้านะ…. TT wTT”

ว่าด้วยเรื่องบัญชีส่วนตั๊ว ส่วนตัว

กลับมาพบกับอีกแล้วกับไอริ \O wO/

โพสนี้จะว่าด้วยเรื่องของการจัดการบัญชีส่วนตั๊ว ส่วนตัวให้ได้รับทราบ

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าตัวเองมีวิธีการจัดการ Personal Finance อยู่แล้วค่ะ

ซึ่งเรารู้สึกว่าวิธีการจัดการบัญชีแบบนี้มันค่อนข้างจะซับซ้อนซะเหลือเกิน ( = =)”

แต่ว่าทั้งหมดนี้ทำด้วย Excel นะเออ

วิธีนี้เหมาะกับผู้ที่ไม่มีหนี้ ไม่ต้องคำนวณหนี้สิน แล้วก็เหมาะกับการจัดการเงินสดของตัวเอง

เอาล่ะจะเป็นยังไงเราลองมาดูดีกว่า

  1. Expense-YYYY คือไฟล์ที่ว่าด้วยเรื่องรายจ่ายรายปี ในนั้นก็เขียนว่าวันนี้เราใช้จ่ายอะไรไปบ้างในวันๆนึง ถ้าดูจากไฟล์จะสังเกตว่ามีค่าเดินทางกับค่าอาหารที่เราแยกออกมา เพราะว่า เป็นสิ่งที่เราต้องจ่ายในทุกๆวันนั่นเอง ส่วน Sheet สุดท้ายจะเป็นการสรุปว่าเราใช้เฉลี่ยปีละเท่าไหร่ เดือนไหนใช้มาก น้อย ก็จะสรุปออกมาชัดเจน
  2. Money อันนี้เป็นไฟล์ว่าด้วยการจัดการเงินทั้งหมดที่มีอยู่ในบัญชีของดัวเอง อัพเดทเป็นรายเดือน เราต้องเข้า Internet Banking หรือไม่ก็ไปอัพสมุด แล้วมาอัพเดทไฟล์นี้ รวมถึงการตรวจเงินในกระเป๋าของตัวเองว่ามีเงินเหลือเท่าไหร่ กดไปเท่าไหร่ เงินเข้าธนาคารเท่าไหร่ วิธีนี้ทำให้รู้ถึงเงินสดที่ยังคงมีอยู่จริงๆทั้งในกระเป๋าสตางค์ และธนาคาร ต้องซื่อสัตย์กับตัวเอง เอาเงินในกระเป๋าออกมานับทุกวันๆ (เราทำแบบนี้จริงๆนะเออ ถึงจะยุ่งยากไปหน่อย) เวลาเปิดบัญชีทีก็ต้องมา Add Sheet แล้วก็เพิ่ม Row ใน Chart เองง่ะ (ไว้มี Update Version เขียน Macro ก่อนนะ ขอโทษฮ่ะ ตอนนี้ยังขี้เกียจ T^T)  จะสังเกตว่าหน้า Summary จะมีช่อง Can use คือเอาไว้รวมเงินว่าเงินที่เราใช้จ่ายทั้งหมดว่ามีเท่าไหร่ ไม่รวมบัญชีเก็บ ซึ่งแยกเอาไว้ต่างหาก แต่เราก็ต้องแยกเองนะ กับ Total คือที่รวมบัญชีที่ใช้กับบัญชีที่เก็บ ว่ามีมูลค่าเท่าไหร่
  3. Monthly Cashflow Projection ฮว๊ากกกก อันนี้ขอนำเสนออย่างแรง เพราะมันนอกจากจะดูได้ว่ารายเดือนเราจ่ายอะไรไปบ้าง ยังเจ๋งกว่านั้นตรงที่สามารถดูได้ด้วยว่าเราจะช็อตตอนไหนอีกแน่ะ! ขอบคุณ คุณ aacademy01 ที่สอนมือใหม่มา ณ ที่นี้ด้วยค่าา ยังมีวิดีโอเกี่ยวกับ Personal Finance ที่คุณยังไม่รู้ก็สามารถเรียนรู้ผ่าน youtube ได้จากคุณคนนี้แหละค่า \> w</

ทั้งนี้ทั้งนั้น สองไฟล์แรก ลบข้อมูลก็ได้นะเออ ไอริแค่เมคมาเพื่อให้เข้าใจง่ายๆแค่นั้นเอง (หรือจะเข้าใจยากขึ้นก็ไม่รู้ T ^T)

สามไฟล์นี้เป็นตัวช่วยในการจัดการ Personal Finance  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น นี่เป็นเพียงแค่เครื่องมือ ส่วนที่จะบ่งบอกว่าเราจะมีเงิน มาก น้อย ก็อยู่ที่พฤติกรรมการใช้เงินของตัวเอง ถ้าใช้มาก แต่รายจ่ายน้อย เครื่องมือนี้ก็เป็นเครื่องตอกย้ำขั้นดีว่าเราไม่มีเงินเหลือเก็บแล้วนะค๊า คนเราเลือกเกิดไม่ได้ก็จริง แต่เลือกที่จะลิขิตชีวิตตัวเองได้ด้วยน้ำมือตัวเองนะค๊า ( = w=)+

Powered by WordPress & Theme by Anders Norén