愛梨ちゃんのブロク

เรื่องบ่นๆ บ้าๆ บอๆ ของไอริ

愛梨ちゃんのブロク

Author: conan1335 Page 2 of 3

ว่าด้วยเรื่อง Test Case

วันนี้มาพบกับไอริในโหมด Geek (ใส่แว่นแปป)

อะแฮ่ม!!

เชื่อว่าคนที่เป็น Programmer/ Software Engineer/ Developer หลายคนเขียนโค๊ดที่เป็นในส่วนของงานเสร็จแล้ว ก็ส่งงานให้ลูกค้าTest รันผ่าน ไร้บัค ลูกค้าบอก Go-Live ก็จบใช่มั๊ยคะ!!

ตอบบบบบ!!

นั่นการเขียนโค๊ดที่ไร้ซึ่ง Quality นะคร๊ะะะะ (ว่าไปนั่น)

ดังนั้นเราจะมา Control Quality ด้วยการเขียน Test Case กันค่าา O wO/

แล้วการเขียน Test Case คืออะไรล่ะ?

Test Case ก็คือการเขียน Code เพื่อพิสูจน์ว่า Code ที่เราจะส่งงานไปเนี่ย มันทำงานได้จริงๆนะตะเอง ไม่ได้โกหกไก่กาอาราเล่

แล้วไอ้ Test Case มันคืออะไรล่ะ?

มันก็คือสถานการณ์ และความเป็นไปได้ทั้งหมดที่ๆโค๊ดเราควรจะเป็น ยกตัวอย่างเช่น การ Log in เข้าหน้าเว็บ Test case ทั้งหมดควรจะมีก็คือ

  • User สามารถ Log in ได้โดยการใส่ Username และ Password ที่ถูกต้อง
  • User ไม่สามารถ Log in ได้ ถ้า Username หรือ Password ไม่ตรงกับค่าที่เก็บไว้
  • User ไม่สามารถ Log in ได้ ถ้าไม่ได้ใส่ค่า Username หรือ Password
  • ถ้า User ไม่ได้ใส่ Username หรือ Password ต้องมีข้อความแจ้งเตือนว่าไม่ได้ใส่
  • ฯลฯ

แค่เขียนโค๊ดส่งงานให้ลูกค้าก็จะตายละ ทำไมต้องมาเขียน หรือทำอะไรแบบนี้ด้วยเนี่ย?

อย่างที่บอกในตอนแรกคือเพื่อการ Control Quality โค๊ดค่ะคุณ ลองนึกสิว่าเราส่งงานไปทั้งๆที่ไม่มี Test Case เนี่ย แล้ววันดีคืนดีคนอื่นกลับมาแก้งานของเรา แล้วโค๊ดที่เค้าแก้มันดั๊น ทำให้งานที่เราทำไปเมื่อชาติที่แล้วพังจะทำยังไงคะ? แล้วยิ่งไปกว่านั้น ถ้า QC/QA หรือใครก็แล้วแต่ไม่มา Test งานเก่า เอาแต่ Test งานใหม่ แล้วลูกค้าผู้น่ารักมาเจอเข้าเองจะทำอย่างไรคร๊ะ แน่นอนความฉิบหายบังเกิดค่ะ (ว่าไปนั่น) นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยลดระยะเวลา/cost ในการ Test ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วยค่ะ

แล้วทำไมถึงไม่ให้คนที่มีหน้าที่ Test ทำเองล่ะ ทำไมต้องเป็นไอ้คนที่เขียนโปรแกรมมันเขียนด้วย?

การเขียน Test Case ถือได้ว่าเป็น White Box Testing อย่างนึงคือคนเขียนเนี่ยมันจะต้องรู้ Flow ข้างในแล้วว่าทำยังไงมันถึงจะเกิด Error หรือทำยังไงโปรแกรมมันถึงจะรันผ่าน แล้วก็ถือได้ว่าเป็นการ Verify “เบื้องต้น”ว่า โค๊ดเรารันไม่ผิดพลาด ส่วนคนที่มีหน้าที่ Test เค้าก็จะ Test ในส่วนของ Black Box Testing คือแกกดหรือแกทำไงก็ได้ให้โค๊ดมันทำงานไม่ตรง Spec อ่ะ (ควานหาบัค)

Tools ที่ใช้ในการเขียน Test Case มีอะไรบ้าง?

โอ๊ยย หลายอย่างเลยค่ะคุณ ขึ้นอยู่กับว่าคุณใช้ภาษาอะไรในการเขียน แล้วที่เขียนเนี่ยจะ Test อะไร อย่าง Java ก็จะมี JUnit , Perl ก็มี Module Test การ Test หน้าเว็บส่วนมากก็ใช้ Selenium ขนาดตัว Ruby on Rails ยังมี Folder Test เพื่อไว้ใช้สำหรับเขียน Test case ของ Web application เลยค่า (รู้แค่นี้)

Step การเขียนมีอะไรบ้าง?

อย่างอื่นก็ต้อง List Cases ทั้งหมดออกมาก่อนว่าจะเขียนกรณีไหนบ้าง จากนั้นดูว่าขั้นตอนการ Test ทั้งหมด มี Step ไหนที่เป็นเหมือนๆกันก็ให้เอาไปใส่ใน Test Setup จากนั้นลงมือเขียนแต่ละ Case ส่วนไหนที่ต้องทำการคืนค่าทั้งหมดในระหว่างที่ Test ก็ให้เอาไปใส่ใน Test Tear down ค่ะ ยกตัวอย่างการ Test Log in แบบเมื่อกี๊ละกันเราให้ Step คร่าวๆในการ Test คือ

  1. เปิดหน้าเว็บ
  2. ไปที่หน้า Log in
  3. ป้อนข้อมูล
  4. กด Submit
  5. ตรวจค่าที่ได้ว่าควรจะเป็นอะไร
  6. clear cache และ ปิด Browser

จาก Step คร่าวๆนี้เราควรที่จะเอา 1 & 2 ไปไว้ที่ Test Setup เพราะทุกๆ case ของการ login ต้องทำแบบนี้ และ เอา 3&4&5 ไปเขียนแยกในแต่ละ Test case เพราะแต่ละ case มี Step การ Test ย่อยที่ไม่เหมือนกัน การตรวจค่าก็ไม่เหมือนกัน จากนั้นก็เอา 6 มาเขียนไว้ที่ Test Tear down เพราะทุก case ต้อง clear cache และ ปิด Browser ค่ะ

ข้อเสียของการทำ Test Case คืออะไร?

ใช้ Cost มากกว่าการเขียนแค่ code เพียวๆค่า ไอริว่ากรณีแบบนี้มันเหมาะกับ Long Term maintenance มากกว่านะ ถ้าเขียนแล้วใช้งานในระยะเวลาสั้นๆก็ไม่ต้องเขียนก็ได้(มั้ง?)

มีอะไรเพิ่มเติมที่อยากบอกมั๊ย?

โดยอุดมคติแล้ว เราควรที่จะเขียน Test Case ก่อนการเขียน Source code ที่ใช้งานจริงๆเพราะจะทำให้เราเห็นภาพรวมในการ Test มากขึ้น แล้ว Test case ที่เราเขียนก็จะไม่ไปในทาง bias คือเขียนเข้าข้างตัวเองว่ามันรันผ่านค่ะ ลองนึกภาพว่าถ้าคุณเขียน Test case ก่อน คุณก็จะนึก Case ขึ้นมาแล้วลงมือเขียนว่าแต่ละ Case ควรจะเป็นไปในทิศทางไหน ทำให้การ Test มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ถ้าคุณเขียนโค๊ดก่อนแล้วค่อยมาเขียน Test Case ก็กลายเป็นว่าคุณเขียนเพื่อให้มัน prove ว่าโค๊ดของฉันรันผ่านไปงั้นๆ ( มั้งนะ ในความรู้สึก =__=a? )

เพราะฉะนั้นมาทำให้โค๊ดที่เราเขียนมีคุณภาพมากขึ้นกันเถอะค่า \O wO/

~จบแล้น~

My Subscribe Beauty Blogger and Guru

สวัสดีค่า วันนี้เราก็จะมาว่ากันด้วยเรื่องความสวยความงามกันค่ะ ( ^^)

ว่ากันด้วย Beauty Blogger กับ Beauty Guru เวลาเราดูจากทาง Youtube หรืออะไรก็แล้วแต่ เราก็มักจะศึกษาเคล็ดลับความสวยความงาม รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ที่พวกนางเหล่านั้นใช้กัน

คือไม่ใช่อะไร เวลาเราดูก็จะเกิดความรู้สึกแบบนี้

ฉันเห็นฉันก็อยากได้บ้างงี๊

นางไปทำอะไรม๊า (เสียงสูง) ฉันก็อยากสวยแบบนี้บ้าง

ของที่เราใช้อยู่มันยังดูไม่ค่อยคลิ๊กกับเรานะ มีอะไรดี มีอะไรมาอัพเดทมั่ง

และอื่นๆอีกมากมาย ตลอดจนบางทีนางๆเหล่านั้นก็คอยอัพเดท Lifestyle อันแสน Happy ดี๊ด๊าของนาง
ส่งสายตาอิจฉาผ่านจอ
( = =)+

ไอริก็ดูไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ และ เรื่อยๆ จนกระทั่งก็หันมาดูแลตัวเองตาม ทำให้ตัวเองดูดีขึ้นเรื่อยๆ (รึเปล่า!?)

ก็นั่นแหละค่า วันนี้จะมาพูดถึงนางๆเหล่านั้นที่ไอริสับตะไคร้ แล้วก็ส่งสายตาผ่านจอกันค่ะ > .<

โมเมพาเพลิน มนุษย์ผู้นี้คงไม่ต้องเอ่ยถึงแต่ประการใดว่านางเป็นใคร ออกจะมีชื่อซะขนาดนี้ สิ่งที่ไอริกับคุณโมเมเป็นเหมือนกันก็คือ เราเป็นมนุษย์หน้ามันค่ะ โดยเฉพาะไอริเป็นมนุษย์ที่หน้ามันมว๊ากกกก * 10 ฉะนั้นเวลาที่เค้าออกคลิป หรือ รีวิวผลิตภัณฑ์อะไรมา เราเองก็จะมโนไปว่า เออ มันก็น่าจะเหมาะกับเราเหมือนกันนะยูวว์ แต่โดยความเห็นส่วนตัวเราว่าสไตล์การแต่งหน้าที่โพสในคลิปจะเป็นแนวหรูๆ ปาร์ตี้ แล้วก็เป็น Everyday look หรือลุคทั่วๆไปไม่ค่อยมีอะไรหวือหวาค่ะ ชอบดูเค้ารีวิวผลิตภัณฑ์มากกว่า > .<“

Pixiwoo คนนี้เป็นกูรูจากอังกฤษค่ะ มีสองคน ชื่อ Sam กับ Nic แต่งได้หลายแนว แล้วก็เก่งมากๆ ตั้งแต่ ลุคธรรมดาๆ ไปจนถึงแต่งหน้าแนวแฟนซี เช่น แม่มด หรือ แฟรงค์เกนสไตล์ แล้วนางก็ยังเป็นเจ้าของแบรนด์แปรงแต่งหน้าที่ไอริเลิฟมากๆ นั่นก็คือ Real Technique แปรงแบบนุ่มมากๆ ไม่มีขนหลุดเลย ชอบดูเหล่านางๆแต่งหน้าค่า

Michelle Phan นางคนนี้ชอบเพราะเค้ามีรีวิวการรักษาหน้าโดยใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติค่ะ อาทิเช่น น้ำผึ้ง ข้าวโอ๊ต ว่านหางจรเข้ คือเป็นผลิตภัณฑ์ DIY ต่างๆ รูปแบบการนำเสนอที่ทำออกมาก็น่าติดตาม ที่สำคัญ Beauty Tips เยอะมากค่ะ ( ^^)

Bubzbeauty คนนี้ก็ติดตามตั้งแต่ไอริเริ่มดูอะไรที่เกี่ยวกับความสวยความงาม ผิวนางคือสวยละก็ดูอิ่มน้ำมาก ไอริก็เลยดูเคล็ดลับที่นางดูแลผิวค่ะ จนตอนนี้นางก็มีลูกละ > .<“

Fleur De Force สับตะไคร้คนนี้ติดตามเรื่องทั่วๆไปเกี่ยวกับ Beauty รวมถึง Fashion haul ค่ะ ชอบดูเค้ารีวิวผลิตภัณฑ์

Pearypie คนนี้ก็ไม่ต้องพูดถึงแต่อย่างใด เป็นกูรูที่มีความสามารถ Adaptation เป็นอย่างสูง ทั้งการผสมสีลิปสติก ทั้ง Trick การแต่งหน้า แต่ติดอย่างเดียวตรงที่นานน๊านจะอัพเดทที ( = =)”

ทั้งหมดนี้ไม่ได้รับค่าโฆษณามาจากใครทั้งนั้นนะยูวว์

Flower Flower – Aki [แปลเพลง]

สวัสดีค่า กลับมาพบกับรายการ มือใหม่หัดแปลอีกครั้ง ( ‘ w’)/ (ตั้งรายการตั้งแต่เมื่อไหร่ยังไม่รู้เลย)

วันนี้ก็จะมาแปลเพลงของเจ๊ YUI อีกเช่นเคย แต่ที่เขียนว่าเป็นของ Flower Flower ก็เพราะว่าเจ๊เค้าไปเล่นในนามของวงละแหละ แล้วเพลงนี้ก็เป็น Ost. Little Forest ด้วยน๊า มี 4 ภาคตามฤดูเลย

เอาล่ะดูผลงานการแปล(มือใหม่)ของไอริกันโลด

 

暗い森 雫の音
Kurai mori shizuku no oto
ป่าที่มืดมิด เสียงที่เงียบสงัดลง

澄ませば聞こえて来る
Sumaseba kikoete kuru
ถ้าหายไป จะได้ยินมั๊ย

優しい風 吹き付けるのは
Yasashii kaze fukitsukeru no wa
สายลมอันแผ่วเบาพัดมานั้น

傷を癒やす
Kizu wo iyasu

ช่วยรักษาแผลให้ฉัน

あの時は分からない事ばかりあるけど
Ano toki wa wakaranai koto bakkari aru kedo
ถึงแม้ในตอนนั้นมีสิ่งที่ยังไม่รู้เลย

今なら分かるよ 伝えたい
Ima nara wakaruyo tsutaetai

แต่ตอนนี้รู้แล้วล่ะ และอยากจะบอกว่า


そっと明日を そっと照らして
Sotto ashita wo sotto terashite
พรุ่งนี้ที่งดงาม ส่องประกายอย่างช้าๆ

繋ぎとめたい事ばかり
Tsunagi tometai koto bakari

อยากรั้งเธอเอาไว้เท่านั้น


ずっと忘れない 残してくれたもの
Zutto wasurenai nokoshite kureta mono
จะไม่ลืมของที่เคยมอบให้ตลอดไป


こんなに暖かいよ
Konnani atatakai yo
อบอุ่นจัง


心にしみてく
Kokoro ni shimite ku
มันซึมลงในใจ


記憶の中 繰り返してる

Kioku no naka kurikaeshiteru
ยังวนเวียนอยู่ในความทรงจำ


壊れたテレビみたい
Kowareta terebi mitai
ราวกับทีวีที่แตกไปแล้ว


傷付いたら直せないもの
Kizutuitara naosenai mono
เธอเคยพูดว่า หากเจ็บ มีสิ่งที่ไม่สามารถรักษาได้

あるって 知った
Arutte Shitta
ฉันรู้อยู่

取り戻せたのなら どうしよう
Torimodose kanou nara doushiyou

แต่หากเอากลับคืนมาได้ ฉันจะทำยังไงดี


深い溝 埋めたい
Fukai mizo umetai
ฉันอยากเติมเต็มความสัมพันธ์ของเรา

あなたはどこにいるの?
Anata wa doko ni iruno
เธออยู่ที่ไหน

ずっと待ってた ずっと信じて
Zutto matteta zutto shinshite
รอตลอดมา เชื่อใจตลอดไป


あの日に戻れたのなら

Ano hi ni modoreta no nara
ถ้าไม่กลับไปในวันนั้นล่ะ


ずっと待てない 残像を薄めてく
Zutto matenai zannzou wo usumeteku
ไม่รออีกแล้ว ภาพที่ติดตาค่อยๆจางหาย


気付けない事ばかりが
Kitsukenai koto bakari ga
ฉันดูแลไม่ได้แล้วล่ะ


私を責めるの
Watashi wo semeru no
ว่าฉัน
สิ

やさしい歌を口ずさめば
Yasashii uta wo kuchizusameba

ถ้าฉันฮัมเพลงเบาๆ


ほら 見えてくるよ
Hora mietekuruyo
เอาล่ะ ปรากฎออกมาสิ


見えてくるよ
Mietekuruyo
ออกมาสิ


そっと明日を そっと照らして
Sotto ashita wo sotto terashite
พรุ่งนี้ที่งดงาม ส่องประกายอย่างช้าๆ

繋ぎとめたい事ばかり
Tsunagi tometai koto bakari

เพียงแค่อยากรั้งเธอเอาไว้


ずっと忘れない 残してくれたもの
Zutto wasurenai nokoshite kureta mono
ไม่ลืมของที่เคยมอบให้ตลอดไป


こんなに暖かいよ
Konnani atatakai yo
อบอุ่นจัง


心にしみてく
Kokoro ni shimite ku
มันซึมลงในใจ

โหมดสารภาพบาป T wT

  1. ด้วยความอ่อนด๋อย เราแปลเองเกือบหมดน๊า แต่ว่าแอบดูคำที่เราแปลไม่รู้เรื่องมานิสนุงจากเว็บนี้  http://www.golyrics.web.id/2014/08/flower-flower-yui-aki.html
  2. แปลในเวลางานค่า ว่างค่า (บอกแบบนี้เดี๋ยวโดนเจ้านาย assign งานมารัวๆ)
  3. บางคำ บางประโยค ไม่รู้จะแปลว่าอะไร มั่วได้อีกค่า แบบคิดว่าคำนี้น่าจะใช่นะ อะไรแบบนั้น

My daily life with classic train at Bangkok

 

 

สวัสดีค่าพบกับไอริอีกครั้งนึง

รอบนี้มาอัพเดทบล็อกในมือถือ เพราะอยากเขียนพอดี (เกี่ยวมั๊ย?)

วันนี้เราจะมาทำความรู้จักรถไฟฟรีในบางกอกที่วิ่งเส้นวงเวียนใหญ่ – มหาชัย กันนะค๊า

แท่น แทน แท๊น และนี่คือหน้าตาของสถานี

สถานีรถไฟ

14170031854891278432603

จากหัวข้อทำไมถึงเป็น Daily Life กันนะ?

ก็เพราะว่าไอริใช้รถไฟฟรีเป็นหนึ่งในพาหนะไปทำงาน และกลับบ้านนั่นเองค่า

14170038588221727535774

ถึงจะเป็นของฟรีเค้าก็แจกตั๋วด้วยนะเออ

Q: ถามถึงประสบการณ์การนั่งรถไฟฟรีครั้งแรกเป็นไง?

A: ตื่นเต้นดี เวลารถวิ่ง ถึงสถานีไหนแล้วก็ไม่รู้ ฮ่าๆๆๆ

Q: ทำไมอ่ะ

A: ทุกขบวนมีป้าย LED บอกนะ น้อยขบวนที่ป้ายจะใช้ได้ นอกนั้นแล้วแต่ความคุ้นชินทิศทางของเรา กับนายขบวนที่แล้วแต่เค้าว่าเค้าจะบอกสถานีที่จอดให้รึเปล่าว่าเป็นสถานีอะไร

Q: ความรู้สึกในการนั้งรถไฟครั้งแรก?

A: กรุงเทพมีวิวแบบนี้ด้วยเหรออเนี่ยย!!~ มีแต่ป่า ดง พง หญ้า สวน

Q: เส้นทางที่รถวิ่งผ่านไปทางไหนมั่ง

A: ก็ตั้งแต่วงเวียนใหญ่ตรงถนนสมเด็จพระเจ้าตากสิน วิ่งไปตลาดพลู จอมทอง วัดไทร วัดสิงห์ บางบอน การเคหะ เรื่อยไปถึงมหาชัยอ่าจ้า

Q: ความประทับใจในการนั่งรถไฟ?

A: รถไม่ติดค่ะ ชิวๆ ฮ่าๆๆๆ

Q: อยู่ไกลจาก BTS วงเวียนใหญ่ป่ะ

A: พอประมาณนะ เดินไปก็ใช้เวลา 10-15 นาที

Q: มีไรฝากถึงคนที่คิดจะนั่งมั๊ย

A: ตอนเช้าในชั่วโมงเร่งด่วนคนอย่างเยอะ

จะลงรถแล้ว ลาแล้วจ้า~

แชร์ประสบการณ์เด็กจบใหม่มีเงินกว่าครึ่งแสน

สวัสดีค่า ก่อนอื่นเห็นจั่วหัวขนาดนี้อย่าคิดว่าโม้นะ ฮ่าๆๆ (แต่เอ็งก็โม้จริงๆอ่ะแหละ)

ก่อนหน้านี้เราเคยตั้งเป้าหมายไว้ว่า อยากจะมีเงินล้านก่อน 30 เนอะ

วันนี้ก็เลยจะมาพูดถึงวิธีของไอริที่คิดว่าเป็นวิธีที่จะไปสู่เป้าหมายนี้กันค่ะ ( ^^)

ไอริเริ่มมาคิดเรื่องเงินจริงๆจังๆตอนสมัยเรียน ปี 2 ที่เริ่มรับทำงานเป็นนักศึกษาทุนจ้างงานค่ะ

นอกจากทุนจ้างงานแล้ว ตอนที่เรียนก็ได้ทุนเรียนดีของมหาลัยช่วยพ่อแม่จ่ายค่าเทอม ค่าหอด้วย

สี่ปีที่เรียนมาก็เลยช่วย Save ค่าเทอมไปได้ประมาณเกือบครึ่ง

แต่ว่าแค่นี้ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองเก่งอะไรนะ เพราะเพื่อนไอริบางคน เป็นเจ้าของกิจการตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ บางคนก็ทำงานส่งตัวเองเรียนตลอด 4 ปีก็มี

ตอนแรกก็เหมือนเด็กๆทั่วไปที่พอทำงานได้เงินมาก็ดี๊ด๊า อยากทำโน่นทำนี่

ไอริก็จัดเลย ตอนนั้นอยากสวย เริ่มซื้อเครื่องสำอางค์ ตามพวก Beauty Blogger ต่างๆที่เค้าแนะนำว่าดี แนะนำว่าเด็ด

จนตอนนี้มีอยู่เต็มลิ้นชัก แต่เอามาใช้ในชีวิตประจำวันจริงๆ แค่ประมาณ 30% ของของที่มีอยู่ ( = = )”

แต่กิเลสมนุษย์มันไม่เคยพอค่ะ พออยากได้แล้วก็ต้องอยากได้อีกเป็นธรรมดา

ถ้าเราไม่คุมมัน เวลาที่เราจะใช้เงินจริงๆมันจะไม่มีนะ

ด้วยเหตุนี้ก็เลยตั้งเป้าหมายการเก็บเงินเอาไว้ ตอนแรกก็ศึกษาพวกบัญชีเงินฝาก อะไรที่ว่าดอกเบี้ยเยอะๆ เราก็ฝากค่ะ ฮ่าๆๆ

เก็บเงินได้จนกระทั่ง มีเงินซื้อแหวนทอง กับต่างหูทองให้แม่ ภายใน 2 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้ราคาอาจจะดูไม่ได้หรูหราอะไร แต่มันก็ทำให้คนที่เรารักดีใจ ( ^^)

จนความโลภมันก็เข้าครอบงำแบบพอดีๆ(?) เลยหันมาสนใจการวางแผนทางการเงิน อัตราแลกเปลี่ยน หุ้น กองทุน บลาๆๆ

จนตอนนี้ไอริทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน ก็ตั้งเป้าหมายไว้ทุกๆเดือนว่า ให้หัก 20% ของเงินเดือนเอาไปออม หรือลงทุนอะไรซักอย่างนึง

แล้วห้ามถอนออกมาอีก ไม่ว่าสถานการณ์จะบีบบังคับให้เราต้องใช้เงินมากแค่ไหน

เคล็ดลับของการออมเงินจริงๆแล้วมันไม่ได้อยู่ที่ไหนไกลเลย มันอยู่ที่ตัวเราเอง ในคำนี้

“วินัย”

จนตอนนี้ไอริมีเงินเก็บ และ สินทรัพย์รวมกว่าครึ่งแสนแล้วค่ะ \( ^^)/

Review: Too faced Chocolate Bar Palette

ก่อนอื่นตอนแรกต้องบอกก่อนว่าไม่ได้คิดจะสอย Palette นี้มา ฮ่าๆๆ

แต่ด้วยความที่พี่หมีไปสิงคโปร์มา แล้วตัวไอริเองดั๊นเป็นผีเครื่องสำอางค์ ก็เลยเห็นรีวิวของ Beauty Blogger บางคนเค้ามีกัน

เราก็เลยงอแง อยากได้บ้าง แต่ไม่มีตังค์ เพราะที่ไทยขายราคาประมาณ 2700 บาท ตามราคาเคาน์เตอร์

เราก็แค่คิดว่า คงได้แต่ชายตามอง แต่มิอาจเอื้อมเป็นเจ้าของ เพราะราคา…. ( ; w;)

ไอริก็เลยพิมพ์ไปในแชทระว่างที่พี่หมีช็อปว่า อยากได้บ้าง แต่ไม่มีตังค์นะ..

เท่านั้นแหละจ้า พี่หมีก็เข้าไปใน Sephora ที่โน่นแล้วสอยมาเลย บอกว่า ซื้อให้

เท่านั้นแหละ…..

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด เลอค่าาาาาา

>w<~~~

ในที่สุด…..!!! T wTb+

ยิ่งไปกว่านั้นพี่หมีเค้าซื้อในราคาที่ตีออกมาเป็นเงินไทยแล้วถูกกว่าตั้งพันกว่า (ถ้าจำไม่ผิด)

แต่ด้วยความเกรงใจ และใจไม่ด้านพอ ไอริก็เลยบอกพี่หมีไปว่า เดี๋ยวเค้าจะจ่ายคืนให้นะ (; w;)s

ก็เลยแปะโป้งพี่หมี จนกว่าจะถึงเดือนหน้าที่เงินเดือนออก = .,=/

ไอริก็เลยจะมารีวิวเจ้า Chocolate Palette ตัวนี้จ้า

2014-09-07 15.45.43

กล่องกระดาษ Packaging ที่ได้มาก็เป็นสีชมพูหวานๆ

2014-09-07 15.45.59

อันนี้ด้านหลังกล่อง

2014-09-07 15.46.17

สีที่มีอยู่ใน Palette นี้มี 16 สี เป็นสี matte 6 สี นอกนั้นก็จะมี Shimmer ปะปนกันไป มากน้อย แตกต่างกันค่ะ

2014-09-07 15.48.11

ข้างในก็จะแถมคู่มือวิธีการแต่งตามาให้ทั้งหมด 3 แบบ

2014-09-07 15.46.56

แท่น แทน แท๊นนน กล่องที่ได้จะเป็นกล่องเหล็ก จะใช้แม่เหล็กเป็นตัวล็อคเวลาเปิดปิดค่ะ

2014-09-07 15.47.17

เลอค่าา~~ เปิดออกมานี่คือหอมกลิ่นโกโก้มากค่ะ อยากกินช็อกโกแลตในทันทีเลย

2014-09-07 15.57.49

ไอริลอง Swatch สีดูค่ะ สีทางขวาสุดจะเป็นสีแรกคือ Gilded Ganache, White Chocolate, Milk Chocolate ไปเรื่อยๆค่ะ

2014-09-07 15.58.11

แบบเปิด Flash

สหายท่านหนึ่ง: รูปที่แกเอาลงนี่ดู Real มาก ไม่คิดจะตกแต่งอะไรเลยรึไงห๊ะะ!!

โดยส่วนตัวแล้วไอริชอบตรงที่มันมีกลิ่น Chocolate นี่แหละ ฮ่าๆๆ (ไม่เกี่ยวกันเลย)

โทนสีใน Palette ดูๆไปมันก็เหมือน Naked 3 นะ แต่ว่า Naked จะมี 12 สี

ไอริก็ว่าจะใช้ตัวนี้แต่งหน้างานรับปริญญาด้วย ไว้มีโอกาส เดี๋ยวจะถ่ายมาให้ชมนะค๊าา ( ^^)/

30 อย่างที่ต้องทำก่อนตาย

หัวข้อนี้จริงๆแล้วไอริได้มาจากการที่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยในวิชานึง แล้วมี Workshop ให้ทำเป็นกลุ่ม

โดยที่ให้แต่ละกลุ่มระดมความคิดว่า 30 อย่างที่ต้องทำก่อนตาย ของกลุ่มนี่มีอะไรบ้าง

เขียนใส่กระดาษปรู๊ฟแผ่นใหญ่ๆ แล้วออกไป Present หน้าห้อง

แรกๆทุกคนก็เขียนแบบจริงจังดีหรอก เช่น อยากมีเงินล้าน อยากไปเที่ยวรอบโลก

แต่หลังๆมามันเริ่มคิดไม่ออกแล้ว เลยเขียนเอาฮา อยากเป็นแฟนณเดชน์บ้าง อะไรงี๊

วันนี้ไอริก็เลยอยากจะหยิบหัวข้อนี้ขึ้นมาเพื่อใช้เป็นเป้าหมายในการดำเนินชีวิตค่ะ ^__^

ถามว่า ทำไมต้องตั้งเป้าหมายอะไรแบบนี้ด้วย

เอาแบบสั้นๆ ง่ายๆนะ… เรียนจบแล้วมันเคว้ง นอกจากทำงานวันธรรมดาแล้วก็ไม่รู้จะทำอะไรค่ะ ฮ่าๆๆๆ

วันนี้ไอริก็เลยอยากจะมาแชร์ 30 อย่างที่ต้องทำก่อนตายของตัวเอง (ไม่มีใครเค้าอยากรู้เรื่องของเธอว์ซะหน่อย)

ไอริก็เริ่มทำตามแผนเพื่อนที่จะได้บรรลุเป้าหมายที่เขียนไว้ด้านล่างของตัวเองแล้วน๊า

แต่ก็พูดเถอะ ตอนนี้คิดได้ไม่ถึง 30 อย่างเลย วะฮ่าๆๆ ก็เลยต้อง ทู บี คอนทินิว กันต่อไป

เอาล่ะ เชิญรับชมเป้าหมายของไอริได้จ้า~~

  1. ไปญี่ปุ่น
  2. ไปพิพิธภัณฑ์โคนัน
  3. สัมผัสหิมะ
  4. มีเงินล้านก่อน30
  5. เรียนภาษาญี่ปุ่นจบอย่างน้อยN2
  6. อยู่เคียงข้างและให้สติพี่หมี
  7. แช่ออนเซน
  8. พาครอบครัวไปเที่ยวที่ไหนซักแห่ง(อย่างน้อยตปท1, ในประเทศ5)
  9. อายุเยอะจะไม่ยอมแก่ (หน้าเด็กกว่าวัย)
  10. กินกับข้าวที่คุณแม่ทำให้นานที่สุด
  11. อยู่กับครอบครัวให้เยอะที่สุด
  12. ปลดหนี้ให้ที่บ้านได้
  13. แก่แล้วร้างกายแข็งแรง
  14. ข้อ 14 – 30 ทู บี คอนทินิว

 แล้ว “30 อย่างที่ต้องทำก่อนตาย” ของคุณ คืออะไร?

Mutual Fund Series

สวัสดีค่ะทุกคน…. (ไม่มีใครหลงเข้ามาหรอกมั๊ง)

วันนี้ไอริมี Series ดีๆมาแนะนำสำหรับคนที่คิดจะเริ่มลงทุนกันค่ะ ^___^

ก่อนอื่นขอบคุณ a-academy ที่สร้างSeries กองทุนรวมนี้ขึ้นมาทำให้คนที่ไม่ได้เรียนทางด้าน Finance และ การลงทุนได้มีความรู้เพิ่มมากขึ้นโขเลยค่ะ

เอาล่ะ!! เกริ่นก่อนว่า Mutual Fund Series อันนี้เราไม่ได้รับสปอนเซอร์มาจากเค้านะตัว เค้าอยากรีวิวเองเพราะมันดีจริงๆ

ถ้าเข้าไปดูในคลิปพวกนี้เค้าก็จะมีข้องมูลเกี่ยวกับกองทุนรวมต่างๆตั้งแต่ขั้น Basic ไปจนถึง Advanced เลยทีเดียว

สอนให้เราวิเคราะห์กองทุนประเภทต่างๆเอง ตั้งแต่ ตลาดเงิน ตราสารหนี้ ไปจนถึง หุ้น อสังหาฯ น้ำมัน เลยแหละ

เหมาะมากๆ สำหรับคนที่ต้องการความรู้ทางด้านการลงทุน การวางแผนทางการเงิน

แต่ว่าพวกเรื่องที่ว่ากองทุนไหนดีหรือไม่ดียังไง อันนี่้ต้องไปอ่าน Fund Fact Sheet ที่มีอยู่ในเว็บบลจ.ต่างๆ วิเคราห์เอง แล้วก็เอามาประใช้กับแผนการลงทุนด้วยตัวเองนะค๊า

ใช้เวลาเรียนรู้วันละตอน ตอนละประมาณครึ่งชั่วโมงเอง เข้าไปดูฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

อย่าลืมดูกันนะค๊า http://www.a-academy.net/personal-finance/s08-mutual-fund/

ทิ้งท้ายคำคม: The successor has never stopped walking. คนที่ประสบความสำเร็จเป็นคนที่ไม่มีวันหยุดเดิน

Happy Mommy’s day

สวัสดีค่า กลับมาพบกับไอริในวันแม่ของไทยพอดี O wO/

ช่วงนี้เหินห่างการเขียนบล็อคไปนานพอสมควร เพราะด้วยหลายๆสาเหตุ (ข้ออ้างอู้มากกว่า)

วันนี้มีข่าวมาอัพเดทเกี่ยวกับชีวิต ตัวเองคือ เรียนจบแล้ว!!

**ปรบมือ 12 123 12 12 12 1**

แต่เอาตรงๆ รู้สึกไม่ค่อยยินดียินร้ายที่ได้เกียรตินิยมเลย เอามาใช้สมัครงานที่แรกแล้วใช้เป็นได้เครติทดี กับ เอาไว้ให้พ่อแม่ชื่นใจ ^^a

โชคดีตรงที่ว่าไอริทำที่เดียวกับที่เคยฝึกงาน เลยมีประสบการณ์ก่อนเข้าทำงานจริงๆมาพอสมควร ไม่ค่อยกังวลอะไรมากมายเท่าไหร่

เอาล่ะ! วันนี้วันแม่ก็ขอนินทา.. เอ๊ย เล่าเรื่องแม่ให้ฟังก็แล้วกันนะ

แม่ไอริเป็นคนที่แม่บ้านแม่เรือนมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก x100

บ้านเดี่ยวขนาด 60 ตารางวา แม่เป็นคนที่จัดการเองทั้งหมดจ้า

ทั้ง ปัด กวาด เช็ด ถู ทำกับข้าว จ่ายตลาด ทำสวน ตัดต้นไม้ ซักผ้า ตากผ้า รีดผ้า หรือแม้กระทั่งทำกับข้าวให้ไอริทุกเช้า ก่อนไปทำงาน ^^

เวลาที่ใครในบ้านกลับดึก แม่ก็จะรอจนกว่าคนในบ้านจะกลับมา เพราะว่าแม่เป็นห่วง

แล้วแม่ก็จะสวดมนต์ตอนเย็นทุกวันเลย

เมื่อเทียบกับไอริแล้วก็ไม่มีอะไรมากก ก็แค่…. แทบจะตรงกันข้ามเกือบทั้งหมด = =”

แต่แม่เป็นคนที่จบแค่ ม.6 เองนะ แต่ใส่ใจให้ความสำคัญกับการศึกษาลูกๆ เหมือนกับยายอ่ะแหละ

ถึงลำบากยังไงก็ต้องส่งลูกเรียนให้จบ (;w;)

ตอนที่ไอริอยู่หอ บางครั้งแม่ก็ถามว่า วันนี้อยู่หอรึเปล่า มะม๊าทำของโปรดของไอริด้วย เดี๋ยวม๊ากับป๊าเอากับข้าวไปให้หนูที่หอนะ TwT

แต่แม่ไม่ค่อยโทรมาหาไอริหรอก มีแต่ไอริที่โทรไป เพราะแม่กลัวว่าจะรบกวนเวลาลูก

พอไอริทำงาน แม่ก็ไม่เคยถามเลยว่าทำงานได้เงินเดือนเท่าไหร่ ขอเงินเท่าไหร่

จนกระทั่งไอริเป็นคนบอกเองว่าจะให้แม่เดือนละเท่าไหร่ ตัวเองมีเงินเดือนเท่าไหร่

เพราะคิดว่าข้อมูลพวกนี้มีความจำเป็นต่อการจัดการหนี้สินในบ้าน

ด้วยเหตุทั้งหมดนี้ ไอริก็เลยคิดว่า ตัวเองเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลกเลยยย

ครอบครัวอยู่พร้อมหน้า อบอุ่น มีแม่ พ่อ และน้องที่น่ารัก มีความสุขที่กลับมาบ้าน อยู่อย่างพอมีพอกิน ไม่ไปลำบากทำให้ใครเดือดร้อน

*ซึ้ง*

Review: การเรียนภาษาญี่ปุ่นที่ Jeducation

จากที่ก่อนหน้าที่ได้พูดถึง จะได้เรียนภาษาญี่ปุ่นกับเค้าซักที ไปก่อนหน้านี้

ตอนนี้เรียนใกล้จะจบคอร์สนึงแล้วค่า *O*

ซึ่งแน่นอนว่าไอริคงเรียนที่นี่ต่อแน่ๆ เพราะว่าอยากเรียนให้มันต่อเนื่องจริงๆจังๆไปเลย

คิดว่าที่เรียนไปก็คุ้มค่านะ ได้เรียนกับเซนเซย์คนญี่ปุ่นจริงๆ

ได้พูด ได้อธิบาย ได้ฟังเป็นภาษาญี่ปุ่นมากขึ้น

เพราะเซนเซย์เค้าจะชวนเราคุยเรื่องต่างๆ แล้วก็มีการทวนบนเรียนต้นชั่วโมง

และที่นี่เค้าก็เน้นให้พูดมากกว่าตามสถาบันที่สอนโดยคนไทยค่ะ

บรรยากาศการเรียนก็เป็นกันเอง มีคนเรียนต่อห้องไม่เกิน 15 คน

ทำให้ได้รับรู้เนื้อหากันอย่างเต็มที่

มี Test คันจิแล้วก็การบ้านทุกอาทิตย์

บทนึงก็เรียน 2 ครั้ง

แต่ที่นี่มีข้อเสียคือ ระดับที่เค้าสอนจะมีแค่ถึง N2 นะคะ

ใครที่มองหาที่เรียนระดับ N1 ที่นี่คงไม่ใช่คำตอบ (; ^_^)a

อีกอย่าง ที่เรียนก็อยู่แถวๆ BTS ศาลาแดง ซึ่งไอริสมัครในช่วงที่มีม็อบ ประท้วงกันพอดี

ทำให้ต้องวางแผนการเดินทาง แล้วก็ระวังตัวอยู่ทุกสัปดาห์ ( = =)”

คอร์สนึงที่เรียนก็ประมาณ 2-3 เดือน 30+ ชั่วโมง เรียน 5 บท ใช้หนังสือ มินนะ

ราคา 5,800 บาทสำหรับคนเรียนวันเสาร์ อาทิตย์

แต่ว่ามีส่วนลดค่าเรียนให้ รายละเอียดต้องไปดูที่เว็บ jeducation.com เอง

จบการ Review เพียงเท่านี้ค่า ^_^/

Page 2 of 3

Powered by WordPress & Theme by Anders Norén